Chevrolet Optra มือสอง – ราคาประหยัด แต่อัดแน่นด้วยฟีเจอร์เพื่อการใช้งานจริง

chevrolet optra นำเข้าไทยครั้งแรกปี 2003

chevrolet optra คือตัวอย่างที่ชัดเจนของยุคสมัยที่โลกาภิวัตน์เข้ามามีบทบาทสำคัญในอุตสาหกรรมยานยนต์ แม้ต้นกำเนิดของรถรุ่นนี้จะเริ่มต้นจากบริษัท Daewoo Motors ในเกาหลีใต้ แต่หลังจากที่ General Motors (GM) เข้าซื้อกิจการ Daewoo ในช่วงต้นทศวรรษ 2000 รถรุ่นนี้ก็ถูกพัฒนาต่อยอดภายใต้แบรนด์ Chevrolet จนกลายเป็นหนึ่งในรถเก๋งเชฟโรเลตที่หลายคนคุ้นเคยกันดีในชื่อ Chevrolet Optra และถูกนำเข้ามาจำหน่ายในตลาดประเทศไทยอย่างเป็นทางการในปี 2003

การออกแบบของ Optra นั้นมีจุดเด่นที่สะท้อนถึงความเป็นสากล ตัวถังได้รับการออกแบบโดยสองสตูดิโอชื่อดังจากอิตาลีอย่าง Pininfarina และ ItalDesign ที่เน้นความเรียบหรูแต่ดูคลาสสิก ในขณะที่เครื่องยนต์และระบบวิศวกรรมพื้นฐานพัฒนาต่อยอดมาจาก Opel ซึ่งเป็นอีกหนึ่งแบรนด์ภายใต้เครือ GM จากเยอรมนี ทำให้รถคันนี้มีจุดเด่นทั้งในด้านดีไซน์และสมรรถนะ

Chevrolet Optra เปิดตัวในตลาดโลกครั้งแรกในปี 2002 และถูกนำเข้ามาเปิดตัว ผลิต และจำหน่ายในตลาดประเทศไทยอย่างเป็นทางการในปี 2003 โดยในตลาดเมืองไทยมีจำหน่ายทั้งตัวถังซีดาน 4 ประตู และตัวถังสเตชันวากอน 5 ประตูในชื่อ Optra Estate ตอบโจทย์กลุ่มผู้ใช้ที่ต้องการรถยนต์ขนาดกลางที่มีความอเนกประสงค์ที่มากขึ้น อีกทั้งยังมีเครื่องยนต์ให้เลือก 2 แบบ คือ เบนซิน 1.6 ลิตร และเบนซิน 1.8 ลิตร และมีรุ่นเครื่องยนต์ CNG ที่ติดตั้งถังแก๊สมาจากโรงงาน ทำให้ Optra กลายเป็นตัวเลือกที่น่าสนใจในตลาดช่วงนั้น เนื่องจากราคาเปิดตัวที่เข้าถึงง่ายและอุปกรณ์มาตรฐานที่ให้มาค่อนข้างครบครันเมื่อเทียบกับคู่แข่งในกลุ่มเดียวกัน

แม้ Chevrolet Optra จะยุติการผลิตไปนานแล้ว แต่ในตลาดรถมือสองของไทย รถรุ่นนี้ก็ยังคงได้รับความนิยมอย่างต่อเนื่อง หนึ่งในเหตุผลคือราคาที่จับต้องได้ง่าย และยังคงมีชื่อเสียงด้านความทนทานและค่าบำรุงรักษาที่ไม่สูงจนเกินไป อย่างไรก็ตาม ความคุ้มค่าในการซื้อรถมือสองรุ่นนี้ขึ้นอยู่กับสภาพการใช้งานเดิม การดูแลรักษาที่ผ่านมาของเจ้าของเดิม และความพร้อมของอะไหล่ในตลาด ซึ่งยังพอหาได้ไม่ยากนัก

บทความนี้จะมาเจาะลึก Chevrolet Optra สำรวจจุดเด่น ข้อดี-ข้อด้อย ปัญหาที่พบ รวมถึงคำแนะนำในการเลือกซื้อรถมือสองและการบำรุงรักษา สำหรับเป็นข้อมูลประกอบการตัดสินใจให้กับคนที่กำลังสนใจรถรุ่นนี้อยู่

ตัวถังและภายนอก Chevrolet Optra

2.webp

Chevrolet Optra การออกแบบให้ดูเรียบหรูและสอดคล้องกับยุคสมัย หลายคนชื่นชมในดีไซน์ที่ยังดูทันสมัยแม้จะผ่านมาหลายปี อย่างไรก็ตาม เจ้าของรถหลายรายให้ความเห็นว่าคุณภาพของสีตัวถังอาจไม่โดดเด่นมากนัก โดยเฉพาะบริเวณฝากระโปรงหน้าและฝากระโปรงท้ายที่เมื่อเวลาผ่านไปจะเริ่มเจอจุดกะเทาะหรือริ้วรอยเล็ก ๆ ซึ่งถ้าปล่อยทิ้งไว้โดยไม่ดูแล ก็อาจลามไปถึงการเกิดสนิมได้ ส่วนกระจกด้านข้าง แม้จะมีความหนาเพียงพอ แต่ก็พบว่ามีรอยขีดข่วนเกิดขึ้นได้ง่ายหากใช้ใบปัดน้ำฝนหรือผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดที่คุณภาพไม่ดี

ตัวถังของ Optra มีโครงสร้างที่มั่นคงแต่บางคัน (โดยเฉพาะรุ่นซีดาน) พบปัญหาเล็กน้อยเรื่องฝากระโปรงท้ายที่อาจติดตั้งไม่ตรงหรือไม่สมดุล นอกจากนี้ บานพับประตูเมื่อใช้งานไปนาน ๆ อาจเกิดอาการหย่อน ทำให้ประตูปิดไม่สนิทหรือมีเสียงดัง แต่ก็ไม่ใช่ปัญหาที่ซับซ้อน เนื่องจากบานพับเหล่านี้ติดตั้งด้วยสลักเกลียว ทำให้สามารถปรับตั้งหรือเปลี่ยนได้ง่ายโดยช่างทั่วไป

หนึ่งในคุณสมบัติที่เจ้าของรถหลายคนสังเกตคือที่ความเร็วสูงกว่า 100 - 120 กม./ชม. ฝากระโปรงหน้าอาจมีการยกตัวเล็กน้อย ซึ่งแม้จะไม่ถึงขั้นเป็นอันตราย แต่ก็ทำให้คนขับรู้สึกกังวล การปรับยางกันกระแทกและตัวล็อกฝากระโปรงสามารถแก้ไขปัญหานี้ได้โดยไม่ต้องเปลี่ยนชิ้นส่วนหลัก

ภายในและความสะดวกสบายรถเก๋งเชฟโรเลต ออพตร้า

ภายในรถเก๋งเชฟโรเลตออพตร้าใช้วัสดุพลาสติกแข็งเน้นความทนทาน

ห้องโดยสารของรถ chevrolet optra มีความกว้างขวางเมื่อเทียบกับรถในระดับเดียวกัน แม้วัสดุหลักจะเป็นพลาสติกแข็งที่เน้นความทนทานมากกว่าความหรูหรา แต่โดยรวมแล้วถือว่าออกแบบได้เป็นระเบียบเรียบร้อยและใช้งานง่าย อย่างไรก็ตาม เมื่อใช้งานไปประมาณ 40,000 - 60,000 กม. เจ้าของรถหลายคนสังเกตว่าเริ่มมีเสียงลั่นกรอบแกรบเกิดขึ้นบ้าง โดยเฉพาะบริเวณแผงหน้าปัด ใต้กระจกบังลม และรอบกระจกมองหลัง ในรุ่นสเตชันวากอนชั้นวางของด้านหลังก็มีโอกาสส่งเสียงดังได้เช่นกัน

เสียงลั่นที่หลายคนเข้าใจผิดว่าเป็นปัญหาของระบบกันสะเทือน มักมาจากพนักพิงหลังของเบาะหลังที่ยึดไม่แน่นพอ ส่วนระบบปรับอากาศ ถึงแม้จะทำงานได้ดีและเย็นเร็ว แต่ในบางคันอาจพบว่ามีหยดน้ำควบแน่นเกิดขึ้นบริเวณพื้นฝั่งผู้โดยสารด้านหน้า โดยปัญหานี้มักเกิดจากการอุดตันของท่อระบายน้ำหรือการสะสมความชื้นที่คอยล์เย็น ซึ่งสามารถแก้ไขได้ง่ายด้วยการทำความสะอาดท่อระบายและตรวจเช็กระบบปรับอากาศอย่างสม่ำเสมอ

5.webp

ถึงแม้ Chevrolet Optra จะเป็นรถที่เน้นความคุ้มค่า แต่ภายในห้องโดยสารก็ยังให้ความรู้สึกสบาย เบาะนั่งออกแบบให้รองรับสรีระได้ดีทั้งผู้ขับขี่และผู้โดยสาร โดยเฉพาะรุ่นท็อปในไทยที่มาพร้อมฟีเจอร์ครบครัน เช่น ระบบปรับอากาศอัตโนมัติ กระจกไฟฟ้ารอบคัน และเครื่องเสียงคุณภาพดี ซึ่งทำให้ Optra กลายเป็นหนึ่งในตัวเลือกที่คุ้มค่าในตลาดรถมือสองปัจจุบัน

อุปกรณ์ไฟฟ้า

ปัญหาที่พบบ่อยของ Chevrolet Optra คือเกจวัดน้ำมันที่ไม่แม่นยำ

เชฟโรเลต เก๋ง Optra ที่ขายในเมืองไทยมาพร้อมฟีเจอร์มาตรฐานที่ครบครันสำหรับรถในยุคเดียวกัน แต่ก็มีบางจุดที่อาจสร้างความไม่สะดวกได้เป็นครั้งคราว ปัญหาที่พบได้บ่อยคือฟิวส์ขาด โดยเฉพาะในระบบเล็ก ๆ อย่างไฟส่องป้ายทะเบียนหรือไฟในห้องโดยสาร นอกจากนี้ ระบบเซ็นทรัลล็อกก็มีรายงานว่าบางครั้งทำงานไม่เสถียร เช่น ล็อกหรือปลดล็อกเอง ซึ่งมักเกิดจากความผิดพลาดของชุดควบคุมหรือมอเตอร์เซอร์โวที่เริ่มเสื่อมตามอายุการใช้งาน

อีกหนึ่งปัญหาที่เจ้าของหลายคนบ่นกันคือเกจวัดน้ำมันที่ไม่แม่นยำ อ่านค่าเพี้ยนหรือค้างอยู่ที่เดิม ทั้งนี้มักเกิดจากตัวลูกลอยในถังน้ำมันที่อาจสึกหรอหรือมีคราบสกปรกเกาะ ส่วนเซนเซอร์วัดอุณหภูมิภายนอกก็อาจแสดงค่าอุณหภูมิผิดเพี้ยนไป 2 – 3 องศาเซลเซียส ซึ่งแม้ไม่ใช่ปัญหาใหญ่แต่ก็ทำให้การแสดงผลไม่ตรงกับความจริง

ไฟหน้าเป็นอีกจุดหนึ่งที่เจ้าของรถหลายคนพูดถึงเนื่องจากแสงไฟหน้าเดิมจากโรงงานอาจดูไม่ค่อยสว่าง เวลาขับกลางคืนหรือบนถนนจึงให้ทัศนวิสัยไม่ค่อยดีนัก สามารถแก้ไขได้โดยการเปลี่ยนไปใช้หลอดไฟอัปเกรดที่มีความสว่างมากขึ้น แต่การเปลี่ยนหลอดไฟหากไม่ระวังอาจทำให้หน้าสัมผัสของขั้วหลอดไฟร้อนจัดจนละลายได้ นอกจากนี้อาจทำให้เกิดปัญหาเกี่ยวกับระบบกราวด์ (ground) ในระบบไฟ การตรวจสอบและแก้ไขจุดต่อกราวด์จึงควรเป็นขั้นตอนแรกก่อนที่จะเปลี่ยนหลอดไฟกำลังสูงหรือดัดแปลงระบบไฟหน้า

ในส่วนของที่ฉีดน้ำล้างกระจกด้านหน้า พบปัญหาว่าปั๊มฉีดน้ำพังเนื่องจากมอเตอร์ภายในขาดการซีลกันน้ำที่ดี ทำให้น้ำซึมเข้าจนวงจรไฟฟ้าเสียหาย การแก้ไขโดยการถอดมอเตอร์ออกมาบัดกรีจุดที่ชำรุดและอุดรอยรั่วใหม่สามารถช่วยยืดอายุได้ดี สำหรับปัญหาเกี่ยวกับท่อน้ำฉีดล้างกระจกหลังก็มีโอกาสรั่วซึมหรือเสียหายจากการเสียดสีภายในเสาด้านหลังฝั่งซ้าย ทำให้น้ำวิ่งไปถึงหัวฉีดได้ไม่เต็มที่

เครื่องยนต์ของเชฟโรเลต เก๋ง ออพตร้าในไทย

เชฟโรเลต เก๋ง ออพตร้าใช้เครื่องยนต์เบนซิน

Chevrolet Optra ในไทยมีเครื่องยนต์ให้เลือก 2 ขนาด ได้แก่ เครื่องยนต์เบนซิน 4 สูบเรียง ความจุ 1.6 ลิตร รหัส F16D3 กำลังสูงสุด 107 แรงม้า แรงบิดสูงสุด 150 นิวตันเมตร เครื่องยนต์เบนซิน 4 สูบเรียง ความจุ 1.8 ลิตร รหัส F18D3 กำลังสูงสุด 120 แรงม้า แรงบิดสูงสุด 164 นิวตันเมตร เครื่องยนต์ทั้ง 2 รุ่นมีการออกแบบที่คล้ายคลึงกัน เป็นเครื่องยนต์ที่เรียบง่าย มีความทนทานและเชื่อถือได้ ปัญหาที่พบคือการก่อตัวของเขม่าบนก้านวาล์วและในห้องเผาไหม้เมื่อผ่านการใช้งานไปถึงหลักแสนกิโลเมตร ปัญหานี้อาจทำให้วาล์วค้าง เครื่องยนต์เดินไม่เรียบ เสียงดัง และกินน้ำมันมากขึ้น

สำหรับเครื่องยนต์ 1.8 ลิตร จะไม่ค่อยเจอปัญหาจุกจิกกับเขม่าในวาล์วและห้องเผาไหม้ แต่หลายคันมักเจอปัญหาเกี่ยวกับระบบท่อไอดี โดยเฉพาะในรถคันที่วิ่งไปถึงประมาณ 80,000 กม. จะเริ่มได้ยินเสียงเคาะหรือก๊อกแก๊กเบา ๆ จากเครื่องยนต์ ซึ่งหลายคนเข้าใจว่าเป็นปัญหาของไฮดรอลิกลิฟเตอร์หรือวาล์ว แต่จริง ๆ แล้วเสียงนั้นมักเกิดจากชิ้นส่วนพลาสติกภายในระบบแปรผันท่อไอดีที่เริ่มหลวม เสียงนี้มักจะไม่กระทบต่อสมรรถนะของเครื่องยนต์ แต่ถ้าปล่อยไว้นานก็อาจทำให้เกิดปัญหาใหญ่ตามมา

การบำรุงรักษาเครื่องยนต์ของ Optra แนะนำให้เปลี่ยนน้ำมันเครื่องทุก 10,000 กม. เพื่อยืดอายุการใช้งานของเครื่องยนต์และลดความเสี่ยงจากน้ำมันเครื่องเสื่อมคุณภาพ นอกจากนี้ สายพานไทม์มิ่งและลูกรอกควรเปลี่ยนทุก 60,000 กม. และไม่ควรฝืนใช้งานเกินระยะเพราะปั๊มน้ำของเครื่องยนต์ทำงานร่วมกับสายพานเส้นเดียวกันและมักจะหมดอายุในช่วง 80,000 กม. หากไม่เปลี่ยนตามกำหนด อาจก่อให้เกิดความเสียหายใหญ่แก่เครื่องยนต์

แม้จะมีจุดที่ต้องระวัง แต่เมื่อได้รับการดูแลและบำรุงรักษาอย่างเหมาะสม เครื่องยนต์ของ Chevrolet Optra นับว่ามีความทนทานสูง บางคันสามารถวิ่งได้ถึง 250,000 กม. โดยไม่ต้องทำการซ่อมใหญ่

ระบบหล่อเย็น

ระบบหล่อเย็นของ Chevrolet Optra ต้องการการดูแลเอาใจใส่เป็นพิเศษ โดยเฉพาะเมื่อรถวิ่งผ่านระยะทาง 80,000 กม. เจ้าของหลายคนมักเจอปัญหาถังพักน้ำแตกร้าวซึ่งเกิดจากอายุการใช้งานและความร้อนสะสม และเมื่อวิ่งไปถึงระยะทางประมาณ 130,000 กม. หม้อน้ำที่เป็นแบบประกอบสำเร็จจากโรงงานก็มักจะรั่วซึมจากด้านล่างซึ่งอาจทำให้เครื่องยนต์ร้อนเกินไปหากไม่ซ่อม นอกจากนี้ ท่อบนของหม้อน้ำก็เป็นอีกจุดที่ต้องระวังเพราะเมื่อถึงอายุใช้งานใกล้เคียงกัน ท่ออาจบวมจนทำให้เกิดการรั่วซึม

ในส่วนของระบบหล่อลื่น สิ่งที่ควรสังเกตคือไฟเตือนแรงดันน้ำมันเครื่องบนหน้าปัด หากไฟขึ้นแล้วดับไปทันที อาจเป็นสัญญาณว่ามีปัญหาซ่อนอยู่ โดยส่วนใหญ่จะเกิดจากเซนเซอร์แรงดันน้ำมันที่สกปรกหรือเสื่อมสภาพ แต่ในบางกรณีก็อาจเกิดจากตะแกรงกรองน้ำมันที่อุดตัน ซึ่งอาจนำไปสู่ความเสียหายรุนแรงหากปล่อยทิ้งไว้นาน

นอกจากนี้ เครื่องยนต์ของ Optra ซึ่งมีพื้นฐานการออกแบบจาก Opel ยังมีปัญหาคลาสสิกคือน้ำมันเครื่องซึมบริเวณปะเก็นฝาวาล์วและซีลต่าง ๆ เมื่อรถวิ่งไปประมาณ 50,000 กม. จึงควรเปลี่ยนปะเก็นฝาวาล์วเพื่อป้องกันไม่ให้น้ำมันเครื่องรั่วเข้าไปในปลั๊กหัวเทียน เพราะหากน้ำเครื่องมันเข้าไปอาจทำให้เกิดไฟกระชากและส่งผลเสียต่อคอยล์จุดระเบิด ซึ่งปัญหานี้พบได้บ่อยโดยเฉพาะกับเครื่องยนต์ 1.6 และ 1.8 ลิตร ที่นิยมในไทย

อีกหนึ่งเรื่องที่เจ้าของรถ Optra ไม่ควรมองข้ามคือคุณภาพของน้ำมันเบนซิน แม้ว่าเครื่องยนต์จะออกแบบมาให้รองรับน้ำมันในเกรดปกติได้ แต่หัวเทียนของรุ่นนี้ค่อนข้างไวต่อการสะสมของคราบตะกั่วหรือเฟอร์โรซีนซึ่งพบในน้ำมันคุณภาพต่ำ หากใช้ไปนาน ๆ อาจทำให้หัวเทียนเสียและทำให้คอยล์จุดระเบิดเสียด้วย ดังนั้นแนะนำให้เติมน้ำมันคุณภาพดีจากปั๊มที่เชื่อถือได้ ซึ่งนอกจากจะปกป้องเครื่องยนต์แล้วยังช่วยยืดอายุการใช้งานของ Catalytic Converter ได้อีกด้วย

ระบบส่งกำลัง

Chevrolet Optra ที่จำหน่ายในไทยมาพร้อมกับระบบส่งกำลังที่เชื่อถือได้ ทั้งรุ่น 1.6 ลิตร และ 1.8 ลิตร ติดตั้งเกียร์อัตโนมัติ 4 สปีด ซึ่งเป็นหนึ่งในจุดเด่นที่ทำให้รุ่นนี้ได้รับความนิยมเนื่องจากมีความทนทานและค่าซ่อมบำรุงที่ไม่สูงมากเมื่อเทียบกับรถในกลุ่มเดียวกัน

อย่างไรก็ตาม เพื่อยืดอายุการใช้งานและรักษาความสมบูรณ์ของเกียร์ เจ้าของรถควรเปลี่ยนน้ำมันเกียร์อัตโนมัติครั้งแรกเมื่อรถวิ่งถึงประมาณ 60,000 กม. หลังจากนั้นควรเปลี่ยน ทุก 30,000 กม. พร้อมกับเปลี่ยนไส้กรองเกียร์ทุก 90,000 กม. การดูแลอย่างนี้ไม่เพียงแต่ช่วยยืดอายุของเกียร์ แต่ยังช่วยให้การเปลี่ยนเกียร์ทำงานได้ราบรื่น ลดปัญหาเกียร์กระชากหรือการสั่นสะท้าน

ถึงแม้ระบบส่งกำลังของ Optra จะขึ้นชื่อว่าทน แต่ผู้ใช้หลายคนก็สังเกตว่าหลังจากวิ่งไปประมาณ 50,000 กม. อาจเริ่มรู้สึกถึงอาการเกียร์กระตุกเล็กน้อย โดยเฉพาะเวลาที่รถเคลื่อนตัวหรือเปลี่ยนเกียร์เบา ๆ ซึ่งสาเหตุมักมาจากเซนเซอร์ตำแหน่งเกียร์หรือหน้าสัมผัสไฟฟ้าในระบบควบคุมเกียร์ที่เริ่มเสื่อมสภาพ หากตรวจสอบและแก้ไขแต่เนิ่น ๆ จะช่วยลดความเสี่ยงต่อความเสียหายของระบบส่งกำลัง

นอกจากนี้ รถที่ใช้งานหนักหรือขับขี่ในสภาพจราจรติดขัดบ่อย ๆ หรือขับในสไตล์ที่ดุดัน เฟืองภายในเกียร์อาจเสื่อมสภาพเร็วกว่าปกติ อาการที่สังเกตได้คือเสียงหอนตอนเปลี่ยนเกียร์หรือความรู้สึกเกียร์ลื่นเมื่อเหยียบคันเร่ง หากละเลยอาจต้องเปลี่ยนชุดเกียร์ทั้งชุด ซึ่งราคาค่อนข้างสูง

ระบบกันสะเทือนและการควบคุม

Chevrolet Optra มาพร้อมระบบกันสะเทือนหน้าแบบแมคเฟอร์สันสตรัท ด้านหลังแบบทอร์ชันบีม ซึ่งออกแบบมาให้ความสมดุลระหว่างความนุ่มนวลและความมั่นคง แม้ว่าโดยรวมแล้วระบบนี้จะให้ความทนทานที่ดี แต่ก็มีบางส่วนที่เจ้าของควรให้ความสนใจ

จุดเชื่อมเหล็กกันโคลงหน้ามักมีอายุการใช้งานเฉลี่ยประมาณ 60,000 กม. ซึ่งถือว่าเหมาะสมกับรถในกลุ่มนี้ ส่วนโช้คอัพหลังมักเริ่มเสื่อมสภาพเมื่อใช้งานไปประมาณ 80,000 กม. ซึ่งอาจเร็วกว่าที่เจ้าของหลายคนคาดไว้ ขณะที่โช้คอัพหน้ามีความทนทานกว่าเพราะอยู่ได้ถึง 90,000 กม. อย่างไรก็ตาม ในสภาพการใช้งานจริงบนถนนที่ไม่เรียบของไทย ระยะการใช้งานอาจลดลงได้หากไม่ได้รับการดูแลอย่างสม่ำเสมอ

ส่วนของเบ้าโช้คและลูกปืนล้อของ Optra จัดว่าค่อนข้างอึด โดยเบ้าโช้คสามารถทำงานได้โดยไม่มีปัญหาถึง 100,000 กม. ขณะที่ลูกปืนล้อมีอายุการใช้งานยาวถึง 120,000 กม. นอกจากนี้ ลูกหมากปีกนกก็ไม่ค่อยมีปัญหาก่อนถึงระยะ 120,000 กม. ซึ่งเป็นมาตรฐานของรถระดับนี้

อย่างไรก็ตาม แร็คมาลัยและส่วนที่เกี่ยวข้องกับการควบคุมทิศทางอาจมีอายุการใช้งานสั้นกว่า ที่ระยะทาง 30,000 กม. อาจเริ่มมีอาการซึมหรือรั่วเล็กน้อยที่ข้อต่อของพวงมาลัย และจะเริ่มได้ยินเสียงเคาะจากแร็คพวงมาลัยที่ระยะทางประมาณ 80,000 - 100,000 กม. ข้อต่อ universal joint มักมีอายุประมาณ 80,000 กม. และปั๊มพวงมาลัยพาวเวอร์จะอยู่ได้ประมาณ 120,000 กม. หากเริ่มมีเสียงดังหรือรู้สึกว่าพวงมาลัยหมุนฝืดขึ้นอาจถึงเวลาตรวจสอบและบำรุงรักษาแร็คพวงมาลัยทั้งชุด

ข้อดีคือระบบพวงมาลัยของ Optra สามารถซ่อมแซมได้โดยไม่ต้องเปลี่ยนทั้งชุด ทำให้ประหยัดค่าใช้จ่ายได้มาก ทั้งนี้หากมีเสียงเคาะหรือกระแทกเมื่อขับผ่านพื้นผิวขรุขระ เจ้าของควรตรวจสอบระบบเบรกร่วมด้วย เนื่องจากปัญหาที่พบบ่อยเกิดจากตัวสปริงในคาลิเปอร์เบรกที่สูญเสียความยืดหยุ่น ทำให้ผ้าเบรกขยับหรือสั่นจนเกิดเสียง

ระบบเบรก

ระบบเบรกของ Optra ได้รับคำชมว่าเชื่อถือได้ ไม่ค่อยมีปัญหาร้ายแรงถ้าได้รับการดูแลสม่ำเสมอ การเปลี่ยนผ้าเบรกควรทำพร้อมกับการหล่อลื่นหมุนยึดคาลิเปอร์เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดการติดขัด ซึ่งหากปล่อยทิ้งไว้อาจทำให้ประสิทธิภาพในการเบรกลดลงและผ้าเบรกสึกไม่สม่ำเสมอกัน

เมื่อรถมีอายุมากขึ้นอาจพบปัญหาเกี่ยวกับระบบ ABS โดยไฟเตือน ABS บนแผงหน้าปัดอาจสว่างขึ้น สาเหตุส่วนใหญ่ไม่ได้มาจากตัวเซนเซอร์แต่เกิดจากปัญหาเล็ก ๆ เช่นการเชื่อมต่อที่ขั้วไฟฟ้าเกิดคราบสนิมหรือหลวม สามารถแก้ไขได้ง่ายด้วยการทำความสะอาดและตรวจสอบการเชื่อมต่อใหม่

รถมือ 2 Chevrolet Optra เชื่อถือได้และไม่จู้จี้จุกจิก

สรุปรถมือ 2 Chevrolet Optra คุ้มค่าที่จะซื้อหรือไม่?

เมื่อพิจารณาจากรายการปัญหาที่อาจเกิดขึ้นกับ Chevrolet Optra หลายคนอาจรู้สึกกังวลในตอนแรก อย่างไรก็ตาม สิ่งสำคัญคือต้องเข้าใจว่า Optra เป็นรถที่ได้รับความนิยมและมีผู้ใช้จำนวนมาก ทำให้พบปัญหาต่าง ๆ ได้มากและหาทางแก้ไขได้แล้ว

โดยรวมแล้ว Chevrolet Optra เป็นรถที่เชื่อถือได้และไม่จู้จี้จุกจิก เมื่อได้รับการดูแลรักษาที่เหมาะสมรถรุ่นนี้สามารถใช้งานได้ยาวนานหลายปีโดยไม่มีปัญหาใหญ่ ระบบหลักของรถ เช่น เครื่องยนต์ ระบบส่งกำลัง และช่วงล่าง ได้รับการพิสูจน์แล้วว่ามีความทนทานเมื่อได้รับการบำรุงรักษาตามรอบ

จุดเด่นของ Chevrolet Optra

  • ราคาเข้าถึงง่าย - Optra มือสองตอนนี้บางคันมีราคาไม่ถึงแสนบาท ถือเป็นอีกหนึ่งตัวเลือกสำหรับคนที่มีงบน้อย
  • ตัวถังหลากหลายแบบ - Optra มีทั้งตัวถังซีดานและสเตชันวากอน ตอบโจทย์ความต้องการได้หลากหลาย
  • เครื่องยนต์น่าเชื่อถือ - เครื่องยนต์ของ Optra มีพื้นฐานมาจากเทคโนโลยีเยอรมัน ให้สมรรถนะที่ดี ทนทานมั่นใจได้
  • ค่าดูแลรักษาต่ำ Optra ยังพอหาอะไหล่ได้แต่ส่วนใหญ่จะเป็นอะไหล่เทียบที่มีราคาไม่แพง และยังพอมีอู่ซ่อมเฉพาะ Chevrolet ที่ไว้ใจได้
  • ห้องโดยสารกว้างขวาง เมื่อเทียบกับรถในระดับเดียวกัน ห้องโดยสารของ Optra ให้ความสบายทั้งผู้ขับและผู้โดยสาร
  • การควบคุมที่ดีและมั่นคง ช่วยให้ขับขี่ได้อย่างมั่นใจแม้ในความเร็วสูง

ข้อด้อยที่ควรพิจารณา

  • เสียงรบกวนในห้องโดยสาร - อาจเริ่มได้ยินก๊อกแก๊กของวัสดุภายในห้องโยสารตั้งแต่เลขไมล์ยังไม่เยอะ
  • สีตัวถังค่อนข้างบอบบาง – สีตัวถังอาจกะเทาะหรือเกิดรอยขีดข่วนได้ง่ายเมื่อใช้ไปนาน ๆ หากไม่ดูแลอย่างดี
  • ชิ้นส่วนช่วงล่างและพวงมาลัย - ชิ้นส่วนบางอย่างของช่วงล่างและพวงมาลัย เช่น จุดเชื่อมเหล็กกันโคลง หรือข้อต่อพวงมาลัย อาจมีอายุการใช้งานสั้นกว่าที่คิด
  • ปัญหาทางไฟฟ้าเล็กน้อย - เช่น การเชื่อมต่อสายไฟหรือเซนเซอร์ที่อาจทำให้ไฟเตือนบนหน้าปัดสว่าง

สำหรับผู้ที่กำลังพิจารณาซื้อ Chevrolet Optra มือสอง สิ่งสำคัญคือต้องตรวจสอบสภาพรถอย่างละเอียดก่อนตัดสินใจ ควรตรวจสอบเครื่องยนต์ ระบบส่งกำลัง ช่วงล่าง พวงมาลัย และระบบไฟฟ้า และยังควรตรวจสอบความเรียบร้อยของสภาพตัวถังภายนอกว่าปราศจากสนิมหรือการซ่อมหนัก และเลือกรถที่มีประวัติการบำรุงรักษาที่ดี เลือกปีใหม่ ๆ หน่อย และเลือกคันที่วิ่งน้อย

Chevrolet Optra ยังคงเป็นตัวเลือกที่น่าใช้ เหมาะกับคนที่มองหารถมือสองราคาประหยัด ภายในกว้าง นั่งสบาย และอเนกประสงค์กว่ารถเก๋งทั่วไป หากคุณเจอคันที่สภาพดีและดูแลรักษาตามรอบอย่างสม่ำเสมอ รถรุ่นนี้ยังเป็นตัวเลือกที่สามารถพาคุณไปไหนมาไหนได้อย่างสบายใจไปอีกหลายปี

ค้นหา Chevrolet Optra มือสอง ที่ใช่สำหรับคุณ

เรารวบรวมประกาศขายเชฟ-โร-เลตจาก Facebook Marketplace, Kaidee, One2Car และ TaladRod มาไว้ในที่เดียว

เช็คประเภทผู้ขาย แล้วเลือกคันที่ตรงใจคุณได้ง่ายๆ

พบกับรถมือ 2 มากมายที่นี่ → chevrolet optra มือสอง

  • Bangkok, 500 km
  • Brand: Chevrolet
  • Model: Optra
  • Source: Facebook, Kaidee, One2Car, TaladRod



Chevrolet Optra มือสอง – ราคาประหยัด แต่อัดแน่นด้วยฟีเจอร์เพื่อการใช้งานจริง