Mercedes-Benz E-class เจน 4 (W212) มือสอง คุ้มไหม? รถหรูรุ่นใหญ่ที่ยังดูดีไม่มีตก

หลายคนมีความฝันเกี่ยวกับรถยนต์ บางคนฝันอยากได้รถสปอร์ตแรงม้าเยอะ บางคนก็อยากมีซีดานหรู ๆ สักคันเอาไว้ขับในเมืองอย่างภูมิใจ และหนึ่งในรถในฝันของใครหลายคนก็คือ Mercedes-Benz E-Class โดยเฉพาะรหัส w212 ที่ขึ้นชื่อเรื่องความหรูหรา ความนุ่มนวลในการขับขี่ และภาพลักษณ์ที่พรีเมียมสมกับความเป็นรถเบนซ์
ถึงแม้ว่าในวันที่รถรุ่นนี้วางขายใหม่ ๆ ราคาจะเอื้อมถึงได้ยากสำหรับคนทั่วไป แต่ในตลาดรถยนต์มือสอง เบนซ์มือสอง W212 กลายเป็นรุ่นที่ได้รับความนิยมอย่างต่อเนื่องในไทย ไม่ใช่แค่เพราะราคาที่จับต้องได้มากขึ้น แต่เพราะคุณค่าที่ได้จากรถมันยังคงคุ้มเกินราคา ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของความทนทาน อะไหล่ที่ยังหาได้ไม่ยาก และฟีลลิ่งการขับขี่ที่ยังให้กลิ่นอายของรถยุโรปอยู่เต็มเปี่ยม
benz e class w212 เปิดตัวครั้งแรกในปี 2009 มาพร้อมไฟหน้าทรงสี่เหลี่ยมคู่อันเป็นเอกลักษณ์ซึ่งแม้จะมีเสียงวิจารณ์ทั้งชอบและไม่ชอบ แต่ก็ทำให้รถรุ่นนี้โดดเด่นไม่เหมือนใคร และเมื่อมีการปรับโฉม (Facelift) ในปี 2013 ตัวรถก็ได้รับดีไซน์ใหม่ที่ดูหรูหราและทันสมัยขึ้นอย่างเห็นได้ชัด กลายเป็นรูปลักษณ์ที่ยังดูไม่ตกยุคแม้จะผ่านมาหลายปีแล้ว
ในตลาดรถมือสองของไทย W212 มักจะพบเจอในตัวถังซีดานเป็นหลักคิดเป็นประมาณ 90% ของทั้งหมด ส่วนอีก 10% จะเป็นตัวถังคูเป้ที่หายากกว่าและราคามักจะสูงกว่า เช่นเดียวกับตัวถังสเตชันวากอนที่มีในตลาดมือสองน้อยพอกัน
บทความนี้จะพาไปเจาะลึก Mercedes-Benz E-Class W212 ทั้งด้านดีและข้อควรระวัง ตั้งแต่ระบบขับเคลื่อน ช่วงล่าง เทคโนโลยีภายใน ไปจนถึงเรื่องค่าใช้จ่ายในการดูแล เพื่อให้คุณสามารถตัดสินใจได้อย่างมั่นใจว่า รถเยอรมันมือสองคันนี้คุ้มค่ากับการฝันต่อ หรือควรพับเก็บไว้ก่อน
ตัวถังและภายนอกคุณภาพแบบเยอรมัน

ถ้าพูดถึงความประณีตของตัวถังและวัสดุภายนอก Mercedes W212 ก็ยังคงมาตรฐาน "เยอรมันแท้" ไว้อย่างไม่ขาดตกบกพร่อง แม้จะผ่านการใช้งานมาเกินสิบปี แต่เสียงบ่นจากผู้ใช้จริงในบ้านเรากลับมีน้อยมาก โครงสร้างของตัวรถใช้เหล็กคุณภาพสูง มีความแข็งแรงทนทาน และที่สำคัญคือแทบไม่เจอปัญหาสนิมซึ่งเป็นเรื่องที่เจ้าของรถยุโรปมือสองหลายคนกังวล
สีที่พ่นจากโรงงานให้ benz w212 ก็ถือว่าทนดีเยี่ยม ไม่ซีดง่าย และยังคงความเงางามไว้ได้แม้ใช้งานหนัก โดยเฉพาะในสภาพอากาศร้อนชื้นอย่างบ้านเรา จุดที่น่าสนใจคือ ฝากระโปรงหน้าและบังโคลนผลิตจากอะลูมิเนียมซึ่งช่วยลดน้ำหนักและป้องกันการผุกร่อนจากสนิมได้ดีอีกขั้นหนึ่ง
อย่างไรก็ตาม รายละเอียดเล็ก ๆ อย่างเช่น แถบโครเมียมตรงกระจังล่างของกันชนหน้า มักจะเริ่มหมองและเป็นรอยหลังจากใช้งานไปสัก 3 - 4 ปี หรือเร็วกว่านั้นถ้าจอดตากแดดบ่อย ๆ และพลาสติกบางจุดก็อาจเริ่มกรอบหรือแตกร้าวได้เมื่ออายุมากขึ้น
ขณะที่ระบบไฟภายนอกเองก็มีประเด็นให้พูดถึงโดยเฉพาะในรุ่นก่อนปรับโฉม (pre-facelift) ที่หลายคนพบว่าฝาครอบไฟหน้ามักจะขุ่นมัวได้ง่ายแม้รถจะยังใหม่อยู่ก็ตาม ทำให้ต้องเปลี่ยนทั้งโคมในบางกรณี แต่ข่าวดีก็คือ ปัญหานี้ได้รับการแก้ไขในรุ่นหลังปรับโฉม (facelift) แม้จะมีปัญหาใหม่อย่างไฟ Daytime แบบ LED ที่อาจขาดได้ก่อนเวลาอันควรเข้ามาแทน รวมถึงไฟท้ายที่ถ้าไดโอดไหม้ก็ต้องมีฝีมือในการบัดกรี ไม่เช่นนั้นอาจต้องเปลี่ยนทั้งชุด
ภายในพรีเมียมทั้งภาพลักษณ์และสัมผัส

เปิดประตูเข้ามาในห้องโดยสารแล้วคุณจะเข้าใจว่าทำไม E-Class W212 ถึงยังเป็นที่นิยมในตลาดรถมือสองของไทย แม้จะผ่านมาหลายปี แต่ภายในของรถรุ่นนี้ยังดูดีไม่มีโทรม วัสดุที่ใช้ถือว่าเกรดดีมาก เบาะนั่งนุ่มสบาย พวงมาลัยและคอนโซลหน้าให้สัมผัสแน่นมือ และที่สำคัญคือการจัดวางทุกอย่างอยู่ในตำแหน่งที่ใช้งานง่าย ตามแบบฉบับรถเยอรมันที่ใส่ใจเรื่องการใช้งานจริง
ระบบควบคุมต่าง ๆ โดยเฉพาะปุ่มควบคุมมัลติมีเดียตรงกลางคอนโซลก็ใช้งานง่าย ไม่ซับซ้อนเหมือนรถยุโรปรุ่นใหม่บางคันที่ต้องกดหลายขั้นถึงจะเปลี่ยนเพลงได้
จุดเดียวที่เจอเสียงบ่นบ้างคือเบาะหุ้มหนังเทียมในบางรุ่นย่อยของ เบนซ์ w212 ที่เมื่อวิ่งไปเกิน 120,000 กม. อาจเริ่มมีรอยยับหรือดูเก่าไปบ้าง แต่ก็ยังถือว่าอยู่ในระดับที่รับได้ และสามารถซ่อมหรือหุ้มใหม่แบบพรีเมียมได้ไม่ยาก
ในภาพรวมห้องโดยสารของ W212 ยังให้ความรู้สึกหรู ดูแพง และไม่ตกยุค โดยเฉพาะถ้าเป็นรถรุ่นปรับโฉมที่หลายคันยังดูใหม่ชนิดที่ถ้าไม่บอกปีผลิต ก็แทบไม่รู้ว่ารถอายุเกิน 10 ปีแล้วด้วยซ้ำ
ตัวเลือกเครื่องยนต์ของ Mercedes w212 ในไทย

เครื่องยนต์เบนซิน
รหัส E200 CGI ใช้เครื่องยนต์ M271 เบนซิน 4 สูบ 1.8 ลิตร เทอร์โบ 184 แรงม้า แรงบิด 270 นิวตันเมตร เครื่องยนต์รุ่นนี้เสื้อสูบทำจากอะลูมิเนียมหล่อขึ้นรูป เช่นเดียวกับฝาสูบที่ทำจากอะลูมิเนียม ทำให้มีความทนทานและช่วยลดน้ำหนักลงไปได้เยอะ ให้สมรรถนะที่เพียงพอสำหรับการใช้งานทุกรูปแบบ และยังเป็นตัวเลือกที่มาพร้อมราคาที่เอื้อมถึงได้ไม่ยาก เข้าถึง
รหัส E250 CGI ใช้เครื่องยนต์ M271 เบนซิน 4 สูบ 1.8 ลิตร เทอร์โบ เหมือนกันแต่ปรับเพิ่มกำลังเป็น 204 แรงม้า แรงบิด 310 นิวตันเมตร
เครื่องยนต์เบนซินทั้ง 2 รหัสถือว่ามีความทนทานและน่าเชื่อถือ โดยเทอร์โบสามารถทำงานได้อย่างเชื่อถือได้ถึง 200,000 กม. อย่างไรก็ตาม เครื่องยนต์ตัวนี้ก็มีจุดอ่อนที่โซ่ไทม์มิ่งที่อาจจะมีอาการยืดหลังจากใช้งานประมาณ 100,000 กม. โซ่ที่สึกหรอไม่ได้ทำเสียงดัง แต่เพียงแค่มีเสียงกรอบแกรบเบา ๆ ซึ่งอาจทำให้เจ้าของเข้าใจผิด นอกจากนี้ ตัวปรับความตึงบางครั้งอาจทำงานได้ไม่ดีซึ่งอาจทำให้โซ่ไทม์มิ่งหลุดได้
คุณลักษณะอีกอย่างหนึ่งคือพลาสติกของไส้กรองน้ำมันอาจหลวมได้ง่าย เครื่องยนต์นี้ยังมีท่อระบบหล่อเย็นพลาสติกที่วางเหนือฝาสูบ ซึ่งอาจแตกเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อยเมื่อเวลาผ่านไป
เครื่องยนต์ดีเซล
รหัส E250 CDI ใช้เครื่องยนต์ OM651 ดีเซล 4 สูบ 2.2 ลิตร เทอร์โบ 204 แรงม้า แรงบิด 500 นิวตันเมตร เสื้อสูบผลิตจากเหล็กหล่อ ฝาสูบทำจากอะลูมิเนียม ใช้ระบบฉีดจ่ายเชื้อเพลิงแบบคอมมอนเรลที่รองรับแรงดันได้สูง ถือเป็นรุ่นที่ได้รับความนิยมและมีตัวเลือกมือสองค่อนข้างเยอะ ให้สมรรถนะและความประหยัดที่น่าพอใจ
รหัส E300 BlueTech Hybrid รุ่นนี้เป็นเครื่องยนต์ดีเซลที่มีระบบไฮบริด เปิดตัวตอนปรับโฉม Facelift โดยพื้นฐานคือเครื่อง OM651 เดิม แต่มีการเพิ่มระบบมอเตอร์ไฟฟ้าเข้าไป ทำให้สามารถผลิตกำลังสูงสุดได้มากถึง 231 แรงม้า และมีแรงบิดสูงสุดถึง 590 นิวตันเมตร ถือเป็นอีกตัวเลือกที่น่าสนใจสำหรับคนต้องการความแรง ทั้งยังได้ความประหยัดและการปล่อยไอเสียที่ต่ำจากการมีระบบไฮบริดด้วย
ระบบส่งกำลังของ Mercedes-Benz E-Class W212

หนึ่งในจุดแข็งที่ทำให้ Mercedes-Benz E-Class W212 ได้รับความนิยมในตลาดรถมือสองของไทย ก็คือความทนทานของระบบส่งกำลังที่ไว้ใจได้
เกียร์อัตโนมัติ 5G-Tronic
เบนซ์ e class รหัส E200 CGI, E250 CGI และ E250 CDI จะมาพร้อมเกียร์อัตโนมัติ 5 สปีด 5G-Tronic เกียร์รุ่นนี้ถูกใช้อย่างแพร่หลายในรถเบนซ์หลายรุ่น ทั้งยังขึ้นชื่อเรื่อง ความอึด สามารถใช้งานได้ถึง 300,000 - 400,000 กม. โดยไม่มีปัญหาใหญ่ถ้าดูแลตามรอบ เปลี่ยนน้ำมันเกียร์ตามกำหนด
อย่างไรก็ตาม ถ้าคุณเป็นคันชอบขับรถดุดัน ชอบกระทืบคันเร่ง หรือออกตัวแรงบ่อย ๆ เกียร์ตัวนี้ก็มีจุดที่ควรระวัง โดยเฉพาะชุดแผ่นคลัตช์ล็อกที่ออกแบบมาแบบแผ่นเดียวบาง ๆ ซึ่งไม่ค่อยถูกกับการใช้งานหนัก ๆ ลักษณะนี้ จึงแนะนำให้มีการตรวจเช็กและเปลี่ยนแผ่นคลัทช์เมื่อถึงเวลาจะช่วยยืดอายุการใช้งานของเกียร์ได้อีกไกล
7G-Tronic Plus
ในรุ่น E300 BlueTech Hybrid ได้อัปเกรดมาใช้เกียร์อัตโนมัติ 7 สปีด หรือที่เรียกว่า 7G-Tronic ที่มีการปรับปรุงให้ฉลาดและลื่นไหลกว่าเดิมทั้งในเรื่องการเปลี่ยนเกียร์ที่นุ่มนวลขึ้น อัตราเร่งที่ต่อเนื่อง และช่วยประหยัดน้ำมันได้ดีขึ้น ถ้าใช้งานตามปกติและมีการบำรุงรักษาสม่ำเสมอ เปลี่ยนน้ำมันเกียร์ทุก 60,000 - 80,000 กม. เกียร์ตัวนี้ก็จะตอบแทนคุณด้วยความเสถียรที่ใช้งานได้ยาวไม่แพ้รุ่นก่อนหน้าเลย
อย่างไรก็ตาม เกียร์ 7G-Tronic Plus ก็มีจุดอ่อนที่ผู้ใช้หลายคนเจอกันมาแล้ว โดยเฉพาะเรื่องคันเกียร์บนพวงมาลัยที่อาจเริ่มมีปัญหาเมื่อรถวิ่งถึงระยะราว ๆ 200,000 กม. รวมถึงเซอร์โวมอเตอร์ที่ควบคุมการเปลี่ยนเกียร์บนตัวเกียร์เอง ซึ่งหากเสียขึ้นมา รถจะไม่สามารถเปลี่ยนเกียร์หรือติดอยู่ในเกียร์ใดเกียร์หนึ่ง ถ้าร้ายแรงถึงขั้นนี้ก็ต้องพึ่งรถยกเพราะขับต่อไม่ได้
แม้จะฟังดูน่ากังวล แต่ข่าวดีก็คืออะไหล่ของระบบเกียร์ W212 ยังสามารถหาได้ไม่ยากในไทย และมีอู่เฉพาะทางที่มีประสบการณ์กับเบนซ์รุ่นนี้อยู่พอสมควร ค่าใช้จ่ายในการซ่อมก็ไม่ได้สูงลิ่วอย่างที่หลายคนกลัว โดยเฉพาะเมื่อเทียบกับรถยุโรปรุ่นใหม่ ๆ ที่มีระบบไฟฟ้าเยอะกว่าและซับซ้อนกว่ามาก
ระบบกันสะเทือนของ Mercedes-Benz E-Class W212
หนึ่งในเสน่ห์ของ Mercedes-Benz E-Class W212 คือความนุ่มนวลในการขับขี่ขณะเดียวกันก็ยังคงให้ความมั่นใจในการยึดเกาะถนน ซึ่งต้องยกเครดิตให้กับระบบกันสะเทือนที่ถูกออกแบบมาอย่างพิถีพิถัน แม้จะมีการเปลี่ยนแปลงบางจุดจากรุ่นก่อน แต่ W212 ก็ยังคงมาตรฐานความสบายสไตล์รถเบนซ์ได้อย่างเต็มที่
ระบบกันสะเทือนหน้า
ใน W212 รุ่นนี้ Mercedes ได้เปลี่ยนจากระบบกันสะเทือนหน้าแบบปีกนกคู่มาใช้แบบแมคเฟอร์สันสตรัท ซึ่งเป็นโครงสร้างที่เรียบง่ายขึ้นแต่ยังคงความมั่นคงและช่วยลดต้นทุนการซ่อมบำรุงโดยรวม จุดแข็งของระบบใหม่นี้คือ ความทนทาน ผู้ใช้งานส่วนใหญ่แทบไม่เจอปัญหาอะไรเลยจนกว่าจะใช้งานเกิน 150,000 กม.
ในรุ่นที่ขับเคลื่อนล้อหลังลูกหมากของก้านอะลูมิเนียมด้านหน้ามักเริ่มมีสัญญาณสึกหรอเมื่อเกินระยะ 100,000 กม. แต่ก็ไม่ได้เป็นปัญหาใหญ่เพราะสามารถเปลี่ยนแยกเฉพาะจุดได้ ส่วนลูกปืนล้อหน้าอาจเริ่มมีเสียงดังหรือความคลอนได้บ้างเมื่อใช้งานหนัก แต่ส่วนใหญ่สามารถแก้ไขได้ด้วยการปรับแต่งและหล่อลื่น ไม่จำเป็นต้องเปลี่ยนใหม่เสมอไป
ระบบกันสะเทือนหลัง
ระบบกันสะเทือนด้านหลังของ W212 เป็นแบบมัลติลิงก์ซึ่งให้ความมั่นคงสูงขณะเข้าโค้งและดูดซับแรงสะเทือนได้ดี โดยโครงสร้างมีการออกแบบที่ต่างจาก E-Class รุ่นก่อนหน้า ทำให้ขับได้นิ่งและนุ่มขึ้น
บูชและ Silent block จะเริ่มสึกหรอหลังระยะทางราว 150,000 กม. แต่จุดที่ควรให้ความสำคัญกว่าคือหมอนรองซับเฟรม ซึ่งอาจเริ่มมีอาการนิ่มหรือแตกร้าวเมื่อรถวิ่งเกิน 100,000 กม. อาการที่พบคือเสียง "ตึ้ก ๆ" เมื่อเจอทางขรุขระ ซึ่งมักเข้าใจผิดว่าเป็นเสียงจากโช้ค ทั้งที่จริงต้นเหตุมาจากจุดนี้
นอกจากนี้ ชิ้นส่วนระบบกันสะเทือนหลังของ W212 บางชิ้นเป็นจำเป็นต้องเติมสารหล่อลื่น ไม่ใช่วัสดุยางหรือโลหะธรรมดาทั่วไป ทำให้ราคาอะไหล่และค่าแรงเปลี่ยนสูงกว่าเล็กน้อยถ้าใช้ของแท้
ระบบช่วงล่างถุงลม AIRMATIC ของ Mercedes
สำหรับ E-Class W212 รุ่นที่ติดตั้งระบบกันสะเทือนถุงลม AIRMATIC รถจะปรับความสูง-ต่ำได้อัตโนมัติ ซึ่งจะให้ความนุ่มนวลขณะรถเคลื่อนที่ได้มากกว่าช่วงล่างทั่วไป อย่างไรก็ตาม ระบบนี้ไม่ต้องรอให้วิ่งถึงระยะแสนกิโลถึงจะต้องดูแล เพราะส่วนประกอบหลัก เช่น ถุงลม คอมเพรสเซอร์ เซนเซอร์ และวาล์วต่าง ๆ มีอายุการใช้งานเฉลี่ยประมาณ 5 - 7 ปี ไม่ว่าจะใช้มากหรือน้อยก็ควรต้องเปลี่ยน
ข่าวดีคือ Mercedes ออกแบบฝาครอบพิเศษเพื่อช่วยป้องกันถุงลมจากฝุ่น โคลน และหินที่กระเด็นมาโดน ทำให้ยืดอายุได้มากขึ้น แต่ข่าวร้ายก็คือราคาค่าเปลี่ยนหรือซ่อมระบบ AIRMATIC ค่อนข้างสูงมาก และบางครั้งถ้าคอมเพรสเซอร์หรือวาล์วมีปัญหา ระบบจะไม่สามารถปรับระดับได้เลย ต้องลากเข้าอู่เท่านั้น
ดังนั้น ถ้าคุณกำลังมองหา W212 มือสองที่มาพร้อม AIRMATIC แนะนำให้ตรวจสอบประวัติการเปลี่ยนอะไหล่ชุดนี้ให้ชัดเจน และเตรียมงบสำรองไว้เผื่อไว้บ้าง จะได้ไม่ต้องปวดหัวภายหลัง
ระบบบังคับเลี้ยว
ระบบบังคับเลี้ยวของ E-Class W212 มีให้เลือกสองแบบ ขึ้นอยู่กับปีที่ผลิต โดยรุ่นก่อนปี 2013 ใช้พวงมาลัยพาวเวอร์แบบไฮดรอลิก ซึ่งให้ความรู้สึกหนักแน่นแม่นยำ แต่มีอายุการใช้งานจำกัด โดยเฉพาะ ปั๊มพาวเวอร์ ที่อาจเริ่มมีเสียงหรือแรงดันตกเมื่อผ่านระยะทางประมาณ 150,000-170,000 กิโลเมตร นอกจากนี้ เฟืองพวงมาลัย (steering rack) บางตัวก็มีแนวโน้มจะเริ่มรั่วหรือมีเสียงเคาะเมื่ออายุเริ่มมาก
หลังการปรับโฉมในปี 2013 Mercedes เปลี่ยนมาใช้ระบบพวงมาลัยไฟฟ้า ซึ่งมีข้อดีคือเบากว่า ประหยัดพลังงานกว่า และไม่มีของเหลวให้ต้องดูแล แต่ก็ไม่ได้ไร้ปัญหาโดยสิ้นเชิง เพราะระบบไฟฟ้านี้เมื่ออายุมากขึ้นอาจเริ่มมีปัญหา “ดีเลย์” หรือความไม่แม่นยำในการควบคุม ซึ่งต้องให้ช่างผู้ชำนาญตรวจสอบ
ข้อควรรู้อีกอย่างคือ ชุดเฟืองพวงมาลัยของรุ่นหลังปรับโฉม (ที่ใช้ไฟฟ้า) มีราคาแพงกว่ารุ่นเดิมอย่างชัดเจน และทนทานน้อยกว่าด้วย ผู้ใช้หลายคนจึงเลือกซ่อมเฟืองตัวเดิมหรือหาอะไหล่มือสองใช้งานน้อยซึ่งประหยัดงบได้มาก และยังให้ประสิทธิภาพดีถ้าซ่อมจากอู่เชื่อถือได้
บทสรุป: เบนซ์มือสอง W212 ยังน่าซื้ออยู่ไหม?

Mercedes-Benz E-Class W212 ถือเป็นหนึ่งในรถซีดานพรีเมียมที่มีคาแรกเตอร์เฉพาะตัวที่สุดรุ่นหนึ่งในตลาดรถมือสองตอนนี้ ในด้านหนึ่ง W212 คือรถที่มี โครงสร้างตัวถังแข็งแรง วัสดุดี และระบบกันสะเทือนที่นุ่มนวลแต่ทนทาน จุดเด่นของมันอยู่ที่ความเรียบร้อยในการประกอบแบบเยอรมันแท้ ๆ ขับแล้วให้ความรู้สึกมั่นคง เงียบ และหรูหราอย่างที่รถใหม่หลายคันยังทำไม่ได้
แต่ในอีกด้านก็ต้องยอมรับว่า W212 ไม่ใช่รถที่ “ซื้อมาขับอย่างเดียว” เพราะนี่คือรถที่ต้องดูแลเอาใจใส่และทำความเข้าใจพอสมควร ยิ่งไปกว่านั้น ภาพลักษณ์ของ W212 ในตลาดรถมือสองก็อาจจะดูว่าเป็นรถที่โดนย้อมแมวขายเยอะ หลายคันโทรมกว่าที่ควรจะเป็น และกลายเป็นภาระให้กับเจ้าของใหม่ในภายหลัง
อย่างไรก็ตาม ถ้าคุณเป็นคนหนึ่งที่เข้าใจธรรมชาติของรถยุโรปมือสอง และพร้อมที่จะเลือกคันที่ดูแลมาดี มีประวัติการบำรุงรักษาชัดเจน W212 ก็ยังเป็นหนึ่งในตัวเลือกที่คุ้มค่าและน่าครอบครองอย่างมากในงบประมาณระดับ 600,000 – 1,000,000 บาท
โดยเฉพาะถ้าได้รุ่นที่มาพร้อม เครื่องยนต์เบนซิน 1.8 ลิตร เทอร์โบ คู่กับเกียร์อัตโนมัติ 5 สปีด 5G-Tronic ที่ขึ้นชื่อเรื่องความทน ไม่จุกจิก บำรุงรักษาง่าย และมีอะไหล่รองรับในตลาดอย่างต่อเนื่อง รถคันนั้นสามารถเป็นเพื่อนร่วมทางที่น่าเชื่อถือ และยังคงภาพลักษณ์ของ “เบนซ์ผู้ดี” ได้อย่างภาคภูมิใจแม้จะผ่านเวลามาหลายปี
สุดท้ายแล้ว การตัดสินใจซื้อ e class w212 ไม่ใช่แค่เรื่องตัวเลขราคาเบนซ์หรือสเปกบนกระดาษ แต่มันคือการเลือก “ประสบการณ์” ในการเป็นเจ้าของรถที่มีเสน่ห์เฉพาะตัว ให้ความรู้สึกหรูแต่ไม่เว่อร์ และยังคงทำให้คนหันมามองเมื่อจอดอยู่ข้างถนน หากคุณพร้อมดูแล มันก็พร้อมจะตอบแทนคุณด้วยประสบการณ์การขับขี่ระดับพรีเมียมแบบที่หาไม่ได้จากรถญี่ปุ่นมือสองในช่วงราคาเดียวกัน
ค้นหา Benz (W212) มือสองที่ใช่สำหรับคุณ
เรารวบรวมประกาศขาย benz มือสองจาก Facebook Marketplace, Kaidee, One2Car และ TaladRod มาไว้ในที่เดียว
เปรียบเทียบราคาเบนซ์มือสอง เช็คประเภทผู้ขาย แล้วเลือกคันที่ตรงใจคุณได้ง่ายๆ
Benz E class W212 มากมายที่นี่ → เบนซ์มือสอง W212
- กรุงเทพมหานคร, 500 km
- ยี่ห้อ: Benz
- รุ่น: E-Class
- ปี: 2009-2016
- แหล่งที่มา: Facebook, Kaidee, One2Car, TaladRod