Honda CRV G4 มือสอง: รถดีแทบไร้ที่ติ แต่ก็ยังมีจุดเล็กๆ ให้คิด

CRV G4 รถ SUV ยอดนิยมในช่วงปี2012-2018

หากพูดถึงรถยนต์ Crossover SUV ที่ได้รับความนิยมมากที่สุดรุ่นหนึ่งในท้องตลาด ชื่อของ Honda CR-V เจเนอเรชันที่ 4 คงไม่หลุดจากโผอย่างแน่นอน รถรุ่นนี้เปิดตัวครั้งแรกในปี 2012 และอยู่ในสายการผลิตยาวนานจนถึงปี 2018 ตลอดช่วงเวลาดังกล่าว CRV G4 ครองใจผู้ขับขี่ได้อย่างต่อเนื่อง ด้วยจุดเด่นทั้งในเรื่องของรูปลักษณ์ที่เรียบง่ายแต่ลงตัว ความน่าเชื่อถือสไตล์รถญี่ปุ่น ความสะดวกสบายภายในห้องโดยสาร รวมถึงระบบความปลอดภัยที่ครบครัน

CR-V เจเนอเรชันที่ 4 มีภายในกว้างขวาง รองรับการใช้งานทั้งในชีวิตประจำวันและการเดินทางไกลได้สบาย นอกจากนี้ยังมีการจัดสรรพื้นที่เก็บสัมภาระได้อย่างชาญฉลาด ซึ่งเหมาะสำหรับผู้ที่มีไลฟ์สไตล์แบบครอบครัวหรือชอบเดินทางท่องเที่ยว ด้านเครื่องยนต์มีให้เลือกทั้งเบนซิน 2.0 และ 2.4 ลิตร ระบบขับเคลื่อนมีทั้งแบบขับเคลื่อนล้อหน้าและขับเคลื่อนสี่ล้อ (AWD) ตอบโจทย์ความต้องการของผู้ใช้ได้หลากหลาย ความนุ่มนวลของช่วงล่างและการเก็บเสียงในห้องโดยสารทำได้ดี CR-V รุ่นนี้จึงเป็นรถที่เหมาะทั้งการใช้งานในเมืองและการขับขี่ทางไกล

แม้จะมีข้อดีมากมายแต่ CR-V เจเนอเรชันที่ 4 ก็มีข้อสังเกตบางประการที่ผู้ซื้อควรทราบก่อนตัดสินใจ เช่น ปัญหาเรื่องระบบเกียร์ในบางรุ่น หรืออัตราการบริโภคน้ำมันที่ค่อนข้างสูงโดยเฉพาะในรุ่นขับเคลื่อน 4 ล้อ นอกจากนี้บางคันอาจพบปัญหาเรื่องเสียงรบกวนจากช่วงล่างเมื่อผ่านการใช้งานไปหลายปี ซึ่งสิ่งเหล่านี้สามารถตรวจสอบได้จากประวัติการซ่อมบำรุงหรือการทดลองขับจริง

บทความนี้จะพาไปเจาะลึกถึงจุดแข็ง จุดอ่อน รายละเอียดทางเทคนิค รวมถึงปัญหาที่อาจเกิดขึ้นในรถ มือ สอง Honda CR-V เจเนอเรชันที่ 4 เพื่อช่วยให้คุณตัดสินใจได้อย่างมั่นใจมากขึ้น หากคุณกำลังมองหารถ Crossover SUV ที่ไว้ใจได้ มีพื้นที่ใช้สอยเหลือเฟือ และค่าบำรุงรักษาไม่สูงเกินไป CR-V รุ่นนี้อาจเป็นคำตอบที่ใช่สำหรับคุณ

ภายนอกและตัวถัง


รถcrv รูปลักษณ์เรียบง่ายทนทานตามสไตล์ญี่ปุ่น

แม้ว่า Honda CR-V เจเนอเรชันที่ 4 จะขึ้นชื่อเรื่องคุณภาพงานประกอบที่แข็งแรงและทนทานตามสไตล์รถญี่ปุ่น แต่หลังจากผ่านการใช้งานมาเกิน 10 ปี ปัญหาบางอย่างก็เริ่มโผล่มาให้เห็นโดยเฉพาะในส่วนของตัวถังภายนอก ซึ่งเป็นสิ่งที่ผู้ใช้งานรถมือสองควรตรวจสอบเป็นพิเศษก่อนตัดสินใจซื้อ

หนึ่งในปัญหาที่พบบ่อยคือสนิมที่ซ่อนอยู่ตามจุดต่าง ๆ ของตัวถัง โดยเฉพาะในพื้นที่โดนน้ำบ่อย สนิมมักเริ่มก่อตัวขึ้นในซุ้มล้อซึ่งเป็นบริเวณที่มีเศษดิน ทราย หรือคราบโคลนเข้าไปสะสม เมื่อปล่อยทิ้งไว้นานโดยไม่ทำความสะอาดก็อาจทำให้สนิมลุกลามมากขึ้นเรื่อย ๆ

การดูแลทำความสะอาดใต้ท้องรถและซุ้มล้อจึงสำคัญ แนะนำให้ถอดแผ่นซับในซุ้มล้อออกมาทำความสะอาดอย่างน้อยปีละ 1–2 ครั้ง โดยเฉพาะหลังจากขับลุยฝน ลุยน้ำ หรือเดินทางไกลจากต่างจังหวัด เพราะเศษดินที่แห้งเกาะแน่นอาจเป็นตัวเร่งปฏิกิริยาการเกิดสนิมโดยที่เราไม่รู้ตัว


นอกจากนี้ ท่อส่งเชื้อเพลิงก็เป็นอีกจุดที่มักถูกมองข้าม แม้ว่าจะซ่อนอยู่ใต้ท้องรถแต่ก็มีโอกาสเกิดสนิมได้เช่นกัน โดยเฉพาะรถที่จอดตากฝนบ่อยๆ หรือไม่เคยล้างอัดฉีดใต้ท้องรถเลย สนิมที่เกิดกับท่อส่งเชื้อเพลิงอาจลุกลามจนทำให้ท่อผุน้ำมันเชื้อเพลิงรั่ว ซึ่งเป็นอันตรายทั้งต่อรถและผู้ใช้งาน

อีกหนึ่งจุดที่ควรให้ความสนใจคือบริเวณช่องเติมน้ำมัน หากเริ่มเห็นสีรถบริเวณนั้นเป็นฟองหรือหลุดล่อน นั่นอาจเป็นสัญญาณเริ่มต้นของการกัดกร่อนจากภายใน ควรรีบตรวจสอบและจัดการก่อนจะลุกลามไปถึงตัวถังส่วนอื่น

ยางขอบประตูก็เป็นจุดเล็ก ๆ ที่มักจะโดนมองข้าม แต่ความชื้นสามารถเข้าไปสะสมและก่อตัวเป็นสนิมใต้ขอบยางได้ หากยางเสื่อมสภาพหรือปิดไม่สนิท นอกจากจะมีเสียงลมรั่วเข้าห้องโดยสารแล้วก็อาจเกิดสนิมบริเวณขอบประตู ซึ่งถ้าไม่จัดการตั้งแต่เนิ่น ๆ อาจต้องซ่อมแซมด้วยค่าใช้จ่ายที่สูงมากได้

ระบบไฟฟ้าและไฟส่องสว่าง


CRV มือสองยังเป็น Crossover SUV ที่ไว้ใจได้แม้ใช้งานมาเกิน 10 ปี

ปัญหาไฟเบรกหลัง

หนึ่งในปัญหาที่พบเจอได้บ่อยใน CR-V เจเนอเรชันที่ 4 คือไฟเบรกหลังติด ๆ ดับ ๆ โดยปกติแล้ว Honda CR-V เจเนอเรชันที่ 4 จะมาพร้อมไฟเบรกแบบหลอดไส้ ซึ่งมักจะขาดเมื่อใช้งานไปนาน ๆ ทำให้ไฟหรี่และไฟเบรกติดไม่ครบทั้งแถบ ส่งผลต่อความสวยงามและสร้างความเสี่ยงบนท้องถนนเพราะผู้ขับรถด้านหลังอาจมองเห็นไม่ชัดเจน

ปัญหานี้แก้ได้ด้วยการเปลี่ยนหลอดไฟใหม่แทนหลอดที่เสีย หากเปลี่ยนแล้วอาการยังไม่หายอาจเป็นที่ระบบสวิตช์หรือสายไฟเสียหาย ต้องไล่เช็กสายไฟเบรกและไฟหรี่ทั้งเส้น ถ้าไม่มีความรู้หรือไม่ไม่มั่นใจในฝีมือ แนะนำให้ช่างผู้เชี่ยวชาญมาตรวจสอบจะปลอดภัยกว่า

ปัญหาเบาะหลังพับไม่ได้

ฟังก์ชันการพับเบาะหลังของ CR-V เจเนอเรชันที่ 4 ช่วยเพิ่มความสะดวกในการจัดการพื้นที่เก็บสัมภาระ แต่เมื่อใช้งานไปนาน ๆ หลายคันเจอปัญหากลไกพับเบาะเริ่มรวนหรือทำงานไม่ลื่นไหลเหมือนเดิม ปัญหานี้มักเริ่มจากกลไกล็อกฝืด มีเสียงดังเวลาพับ หรือบางครั้งถึงขั้นพับเบาะไม่ได้เลย สาเหตุมาจากการสึกหรอของชิ้นส่วนกลไกด้านในหรือสลักล็อกหลวมหลังผ่านการใช้งานมานาน การแก้ไขเบื้องต้นอาจเริ่มจากฉีดจาระบีหรือสารหล่อลื่นเพื่อชะล้างสิ่งสกปรกและคลายกลไก หากไม่ดีขึ้นควรให้ช่างตรวจเช็กว่าต้องเปลี่ยนชิ้นส่วนใดบ้าง


 รถcrv เครื่องยนต์มีความทนทานและประหยัด

เครื่องยนต์

Honda CR-V เจเนอเรชันที่ 4 ที่จำหน่ายในประเทศไทยมีตัวเลือกเครื่องยนต์ 2 แบบ คือ เบนซิน 2.0 ลิตร และเบนซิน 2.4 ลิตร แต่ละแบบมีจุดเด่นของตัวเอง รวมถึงข้อควรระวังที่เจ้าของรถควรทำความเข้าใจ

เครื่องยนต์เบนซิน 2.0 ลิตร

เครื่องยนต์เบนซิน 2.0 ลิตรใน CR-V เจเนอเรชันที่ 4 เป็นเครื่องยนต์ที่ได้รับเสียงชมอย่างมากในด้านความทนทานและความประหยัด ข้อดีคือใช้ระบบโซ่ราวลิ้นที่มีอายุการใช้งานยาวนาน ไม่ต้องเปลี่ยนบ่อยเหมือนสายพาน ทำให้ลดภาระค่าซ่อมบำรุงในระยะยาว อีกทั้งยังประหยัดน้ำมันในระดับน่าพอใจ เหมาะกับผู้ใช้ที่เน้นความเรียบง่าย ไม่ต้องการดูแลเครื่องยนต์จุกจิกบ่อย แต่จุดอ่อนหลักของเครื่องยนต์รุ่นนี้คืออัตราเร่งที่ค่อนข้างช้า โดยเฉพาะเมื่อต้องเร่งแซง หรือบรรทุกผู้โดยสารเต็มคัน อาจทำให้รู้สึกอืดหรือไม่ทันใจในบางสถานการณ์ ขณะที่การดูแลรักษาเครื่องยนต์ก็ทำได้ง่าย แนะนำให้เปลี่ยนถ่ายน้ำมันเครื่องและไส้กรองทุก 10,000 กิโลเมตร ตรวจสอบระยะห่างวาล์วทุก ๆ 40,000 กม. แม้ว่าจะดูเหมือนถี่แต่ก็ช่วยยืดอายุการใช้งานโดยรวมได้มาก

เครื่องยนต์เบนซิน 2.4 ลิตร

เครื่องยนต์เบนซิน 2.4 ลิตร ใน CR-V เจเนอเรชันที่ 4 มีพละกำลังเพิ่มมากขึ้น การขับขี่จะรู้สึกกระฉับกระเฉงขึ้นอย่างชัดเจน เหมาะกับผู้ที่ขับทางไกลบ่อย ขึ้นเขาลงห้วย หรือเน้นอัตราเร่งมากกว่าเครื่อง 2.0 ลิตร พละกำลังมีให้ใช้เหลือเฟือแม้บรรทุกสัมภาระหรือผู้โดยสารเต็มคัน ข้อด้อยของเครื่องยนต์รุ่นนี้อยู่ที่ความซับซ้อนของชิ้นส่วนที่ต้องอาศัยการดูแลที่ละเอียดกว่า และมีปัญหาเล็กน้อยเกี่ยวกับการสึกหรอของเพลาลูกเบี้ยวไอเสีย ในบางคัน แม้จะไม่ใช่ปัญหาที่พบได้ทั่วไป แต่ก็ควรตรวจเช็กในช่วงบำรุงรักษา ขณะที่การดูแลแนะนำให้เปลี่ยนถ่ายน้ำมันเครื่องและไส้กรองทุก 10,000 กิโลเมตร และปรับระยะห่างวาล์วทุก 40,000 กม. เช่นเดียวกับรุ่น 2.0 ลิตร

ระบบส่งกำลัง

เกียร์อัตโนมัติ 5 สปีด

CR-V เจเนอเรชันที่ 4 ทั้งรุ่นเครื่องยนต์ 2.0 ลิตร และ 2.4 ลิตร ใช้ระบบเกียร์อัตโนมัติ 5 สปีดที่แม้จะดูเรียบง่าย แต่ก็ทนทานและเชื่อถือได้ จุดเด่นของเกียร์ลูกนี้คือโครงสร้างไม่ซับซ้อนมาก ทำให้ซ่อมง่าย ค่าใช้จ่ายไม่สูง และรองรับแรงบิดของเครื่องยนต์ได้ดี จุดที่ต้องระวังคือเมื่อรถผ่านการใช้งานไปมากกว่า 250,000 กม. บางคันอาจเริ่มมีอาการกระตุกเวลาเปลี่ยนเกียร์ โดยเฉพาะในรอบต่ำหรือเวลาค่อย ๆ เร่งเครื่อง ความผิดปกตินี้มักเกิดจากการสึกหรอของคลัตช์ล็อกอัพในทอร์คคอนเวอร์เตอร์ แนะนำให้เปลี่ยนน้ำมันเกียร์และไส้กรองเกียร์ทุก 40,000 กิโลเมตร เพื่อให้เกียร์ทำงานเต็มประสิทธิภาพและยืดอายุการใช้งานให้ยาวนานที่สุด


พวงมาลัยของ CRV G4 นุ่มนวลตอบสนองแม่นยำ

ปัญหาระบบกันสะเทือนและแร็คพวงมาลัย

ปัญหาระบบกันสะเทือน

ระบบกันสะเทือนของ Honda CR-V เจเนอเรชันที่ 4 ถือว่าทำงานได้ดี มีนุ่มนวลพอสำหรับการใช้งานในเมืองและมีความมั่นคงเมื่อใช้เดินทางไกล อย่างไรก็ตาม เมื่อผ่านการใช้งานทะลุแสนกิโลเมตรก็อาจเจอปัญหาเล็ก ๆ น้อย ๆ เหมือนกับรถทุกคัน โดยเฉพาะชิ้นส่วนที่เกี่ยวข้องกับการดูดซับแรงกระแทก เช่น โช้คอัพ บูช และจุดยึดต่าง ๆ ปัญหาที่พบมีดังนี้

  • บูชปีกนก – จุดนี้เมื่อเริ่มเสื่อมสภาพมักจะเริ่มมีเสียงคล้าย ๆ การเคาะเบา ๆ โดยเฉพาะบูชปีกนกด้านหน้า ซึ่งเป็นจุดรับแรงกระแทกในสภาพถนนขรุขระ
  • บูชกันโคลงและเหล็กกันโคลง - ชิ้นส่วนเหล่านี้มีอายุการใช้งานเฉลี่ยอยู่ที่ราว 80,000 - 100,000 กิโลเมตร และเมื่อเริ่มเสื่อมจะทำให้รถมีเสียงดังจากช่วงล่างเวลาขับผ่านหลุมหรือลูกระนาด

แม้จะเป็นปัญหาเล็ก ๆ แต่ถ้าปล่อยไว้ นอกจากจะสร้างความรำคาญแล้วก็ยังส่งผลต่อประสิทธิภาพการขับขี่ด้วย ดังนั้นหากเจอปัญหาเหล่านี้ควรรีบแก้ไขให้เรียบร้อย

ปัญหาแร็คพวงมาลัย

ระบบพวงมาลัยของ CR-V เจเนอเรชันที่ 4 เป็นแบบแร็คพวงมาลัยไฟฟ้า (EPS) ซึ่งจะให้ความนุ่มนวล เบาแรง ตอบสนองแม่นยำ และแทบไม่ต้องดูแลมากนักในช่วงแรก ๆ ของการใช้งาน แต่ปัญหามักเกิดขึ้นหลังจากใช้งานเกิน 100,000 กิโลเมตรไปแล้ว บางคันเริ่มมีเสียงคล้ายเสียงเคาะหรือเสียงดังแกร๊ก ๆ จากบริเวณด้านหน้ารถ โดยเฉพาะเวลาหมุนพวงมาลัยไปสุดฝั่งหนึ่ง เสียงเหล่านี้มักเกี่ยวข้องกับการสึกหรอของบูชหรือลูกยางภายในแร็คพวงมาลัย วิธีแก้ไขควรให้ช่างผู้เชี่ยวชาญเป็นผู้ตรวจสอบและทำการเปลี่ยนอะไหล่ชิ้นที่เสียหายใหม่ หากทำแล้วอาการยังไม่ดีขึ้นอาจจำเป็นต้องพิจารณาการเปลี่ยนแร็คพวงมาลัยใหม่ทั้งต้น

ปัญหาระบบกันสะเทือนหลัง

CR-V เจเนอเรชันที่ 4 ที่ใช้งานหนัก บรรทุกของหนัก หรือเดินทางไกลพร้อมสัมภาระเต็มคันบ่อย ๆ เมื่อใช้งานไปนาน ๆ อาจเจอปัญหาท้ายตก สาเหตุมาจากการเสื่อมสภาพของสปริงโช้คหลังที่อ่อนตัวลง ส่งผลให้ช่วงท้ายของรถเกิดการยุบจนมีลักษณะคล้ายท้ายรถตกไปทางด้านหลัง ปัญหานี้นอกจากจะทำให้รูปลักษณ์รถดูไม่สมดุลแล้วก็ยังทำให้องศาล้อหลังเปลี่ยนไป หน้ายางด้านในสึกเร็วกว่าปกติ ทำให้ประสิทธิภาพการขับขี่ลดลง และอาจทำให้การเกาะถนนลดลงด้วย แนวทางแก้ไขสามารถทำได้โดยการเปลี่ยนสปริงโช้คหลังใหม่ จากนั้นปรับตั้งองศาล้อให้ตรงตามค่าโรงงาน ก็จะช่วยให้รถกลับมาใช้งานได้เป็นปกติ

CRV มือสองยังเป็นรถที่น่าซื้อหรือไม่?

หากคุณกำลังมองหารถ Crossover SUV ขนาดกลางที่ใช้งานได้ยาวนาน ดูแลง่าย และไม่จุกจิก crv มือสอง เจเนอเรชันที่ 4 (ปี 2012–2017) คือหนึ่งในตัวเลือกที่น่าสนใจที่สุดในตลาดรถมือสองตอนนี้ CR-V เจเนอเรชันที่ 4 เป็นรถที่โดดเด่นเรื่องความสะดวกสบายและความน่าเชื่อถือ เครื่องยนต์ ระบบส่งกำลัง และโครงสร้างตัวถังถือว่าทนทานและรับมือกับการใช้งานในระยะยาวได้ดี ปัญหาที่พบบ่อยส่วนใหญ่ไม่ได้เกิดจากความบกพร่องของตัวรถแต่มาจากการละเลยในการดูแลรักษา เช่น ไม่เปลี่ยนถ่ายน้ำมันเครื่องตามกำหนด ใช้ของเหลวที่ไม่ได้มาตรฐาน หรือไม่ตรวจเช็กช่วงล่างและระบบเบรกเป็นระยะ

ถ้าคุณเป็นเจ้าของที่ใส่ใจรถพอสมควร เปลี่ยนถ่ายน้ำมันตามรอบ, เช็กของเหลว, ซ่อมแซมชิ้นส่วนที่เริ่มเสื่อมก่อนจะลุกลาม CR-V รุ่นนี้สามารถอยู่กับคุณได้เป็นหลักแสนกิโลเมตรโดยไม่ต้องกังวลปัญหาใหญ่ และยังคงให้ความสบายในการขับขี่ได้ดีไม่แพ้รถใหม่ ๆ อย่างไรก็ตาม ก่อนตัดสินใจซื้อรถ มือ สองควรตรวจสอบจุดต่อไปนี้ให้รอบคอบ

  • เครื่องยนต์ - ลองฟังเสียงรอบเดินเบา ตรวจสอบการรั่วซึมในห้องเครื่อง และลองขับจริงเพื่อดูการตอบสนอง
  • ระบบเกียร์ - ตรวจสอบการเปลี่ยนเกียร์ว่าลื่นไหลดีหรือไม่ มีอาการกระตุกหรือหน่วงผิดปกติหรือเปล่า
  • ตัวถัง - ตรวจหาร่องรอยสนิม การชนหนัก หรือการซ่อมแซมที่ไม่ได้มาตรฐาน
  • ประวัติการบำรุงรักษา - เลือกรถที่มีประวัติการเข้าศูนย์หรืออู่ที่น่าเชื่อถืออย่างสม่ำเสมอ

ข้อดีหลักของ รถcrv เจเนอเรชันที่ 4

เครื่องยนต์และเกียร์มีความทนทาน ใช้งานได้ดี ไม่ค่อยมีปัญหาจุกจิก

ห้องโดยสารกว้าง นั่งสบายทุกที่นั่ง เบาะแถวหลังสามารถพับเพื่อเพิ่มพื้นที่เก็บสัมภาระได้

ช่วงล่างมีความนุ่มนวลและแน่นพอสมควร ขับมั่นใจทั้งในเมืองและทางไกล

ค่าอะไหล่และค่าซ่อมไม่แพง หาช่างหรืออะไหล่ได้ง่าย

ความประหยัดน้ำมันอยู่ในระดับที่ดีเมื่อเทียบกับรถในกลุ่ม Crossover SUV ขนาดกลาง

สิ่งที่ควรระวัง

ระบบพวงมาลัยและช่วงล่างควรตรวจเช็กเสียงและการสึกหรอ หากผ่านหลักแสนกิโลเมตรไปแล้ว

สรุป

รถcrv เจเนอเรชันที่ 4 เป็นรถที่มีอายุประมาณ 10 ปี ซึ่งในตลาดรถมือสองถือว่ายังไม่เก่ามาก เป็นรถที่เหมาะกับคนมองหารถยนต์สำหรับครอบครัวหรือใช้งานในชีวิตประจำวันที่ไว้ใจได้ในระยะยาว จุดเด่นคือคุณภาพตัวรถที่มีความทนทานและน่าเชื่อถือ ไม่ค่อยมีปัญหาจุกจิก ซ่อมไม่แพง มีอะไหล่รองรับเยอะ ถือเป็นตัวเลือกที่มีครบทั้งความอเนกประสงค์และความคุ้มค่า แถมราคามือสองก็เข้าถึงได้ง่าย ขอแค่ดูแลเอาใจใส่ตามคู่มือและใช้รถอย่างเข้าใจ ไม่ใช้งานโหดจนเกินไป รถรุ่นนี้ก็พร้อมเป็นพาหนะคู่ใจไปได้อีกหลายปีแบบไม่ต้องปวดหัว

ตามหารถ Honda CR-V มือสองที่ใช่สำหรับคุณอยู่หรือเปล่า?


เรารวบรวมประกาศขาย crv มือสองจาก Facebook Marketplace, Kaidee, One2Car และ TaladRod มาไว้ให้ครบ จบในที่เดียว เปรียบเทียบราคา เช็กประเภทผู้ขาย แล้วเลือกคันที่ตรงใจคุณได้ง่ายๆ

เช็คราคารถยนต์ รถcrv มือสองได้ที่นี่ → ค้นหา CRV G4

  • Bangkok, 500 km
  • Brand: Honda
  • Model: CR-V
  • Source: Facebook, Kaidee, One2Car, TaladRod




Honda CRV G4 มือสอง: รถดีแทบไร้ที่ติ แต่ก็ยังมีจุดเล็กๆ ให้คิด