รีวิว Jeep Wrangler เจเนอเรชัน 4: ออฟโรดตัวพ่อ สายผจญภัยต้องไม่พลาด

หากพูดถึงรถออฟโรดสายพันธุ์แท้ที่สายลุยทั้งมือใหม่และมือเก๋ารู้จักกันดี jeep wrangler เป็นชื่อแรก ๆ ที่ผุดขึ้นมาในใจของใครหลายคน และ Wrangler เจเนอเรชันที่ 4 ที่ใช้รหัสตัวถัง JL ก็ถือเป็นหมุดหมายสำคัญของการเปลี่ยนผ่านจากความดิบเถื่อนแบบดั้งเดิมสู่การเป็นรถออฟโรดสมัยใหม่ที่ผสานเทคโนโลยีและความสะดวกสบายได้อย่างลงตัว
แม้ว่า Wrangler รุ่นก่อน ๆ จะโดดเด่นด้วยโครงสร้างเรียบง่าย เครื่องยนต์ไร้ระบบอัดอากาศ และการควบคุมที่แทบไม่มีอิเล็กทรอนิกส์เข้ามาเกี่ยวข้องเลย แต่ใน Wrangler JL นี้ jeep ได้ยกระดับแนวคิดใหม่ทั้งระบบ ไม่ว่าจะเป็นการเพิ่มอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์เพื่อเข้ามาช่วยอำนวยความสะดวกในการขับขี่ เพิ่มระบบความปลอดภัยที่ทันสมัย หรือแม้แต่ขุมพลังใหม่อย่างเครื่องยนต์เทอร์โบขนาดเล็กที่มาพร้อมพละกำลังและการตอบสนองได้ฉับไวขึ้นแต่ประหยัดน้ำมันกว่าเดิม
ความเปลี่ยนแปลงนี้ทำให้ Wrangler JL ไม่ได้เป็นแค่รถลุยอีกต่อไป แต่กลายเป็นรถออฟโรดที่ใช้งานจริงในชีวิตประจำวันทั้งในเมืองและนอกเมืองได้ดีขึ้นด้วย นั่นคือหนึ่งในเหตุผลที่ทำให้ Wrangler JL ได้รับความนิยมอย่างต่อเนื่องทั้งในตลาดรถใหม่และรถมือสอง
สำหรับตลาดรถมือสองของไทย Wrangler JL กำลังได้รับความนิยมเพิ่มขึ้นในกลุ่มคนที่มีกำลังทรัพย์และต้องการรถที่มีความแตกต่าง มีคาแรกเตอร์เฉพาะตัวที่ไม่เหมือนใคร ประกอบกับเทรนด์รถ Off-Road SUV ทรง Boxy ที่กำลังมาแรงในตอนนี้ ทำให้ Wrangler JL มือสองกลายเป็นตัวเลือกที่หลายคนให้ความสนใจจากราคาค่าตัวที่ถูกกว่าป้ายแดงเป็นล้านบาท แถมยังเป็นโมเดลเจเนอเรชันปัจจุบันด้วย ทำให้รถรุ่นนี้ยังไม่เก่าหรือตกรุ่น และยังคงคุณค่าทางอารมณ์เอาไว้ได้อย่างเหนียวแน่น

ประวัติและภาพรวมของ Jeep Wrangler JL
Jeep Wrangler เจเนอเรชันที่ 4 รหัสตัวถัง JL เปิดตัวในปี 2017 ที่สหรัฐอเมริกา มาพร้อมกับการปรับโฉมใหม่ทั้งคันแต่ยังคงรักษารูปลักษณ์อันเป็นเอกลักษณ์ของ Jeep เอาไว้ได้อย่างครบถ้วนไม่ว่าจะเป็นไฟหน้ากลม กระจังหน้าทรงเจ็ดช่องอันคุ้นตา ตัวถังทรงเหลี่ยม ซุ้มล้อยื่นออกจากตัวถัง ล้ออะไหล่ที่ประตูท้าย รวมถึงรูปแบบตัวถังที่หลากหลายทั้ง 3 ประตู 5 ประตู และแบบเปิดประทุนตามแบบฉบับของ Wrangler แต่ในเชิงเทคนิคแล้ว JL ถือเป็นการพัฒนาแบบก้าวกระโดดจากรุ่นก่อนหน้า JK อย่างชัดเจน
Wrangler JL ได้รับการออกแบบให้ขับขี่ได้ดีขึ้นทั้งบนทางเรียบและออฟโรด พร้อมอัดแน่นด้วยเทคโนโลยีสมัยใหม่ เช่น ระบบช่วยเหลือผู้ขับขี่ ระบบอินโฟเทนเมนต์ Uconnect หน้าจอสัมผัส และระบบความปลอดภัยแบบใหม่ที่ไม่เคยมีในรุ่นก่อนหน้า ช่วยให้ตัวรถตอบโจทย์การใช้งานในชีวิตประจำวันมากขึ้น ขณะเดียวกันก็ยังรักษาศักยภาพในการลุยแบบโหดสุดขีดเอาไว้ได้ครบถ้วน
ในแง่ของขุมพลัง Jeep Wrangler JL มีตัวเลือกขุมพลังทั้งเครื่องยนต์เบนซิน ดีเซล และปลั๊กอินไฮบริด โดยรุ่นที่ได้รับความนิยมในไทยคือเครื่องยนต์เบนซิน 4 สูบ ขนาด 2.0 ลิตร เทอร์โบ 270 แรงม้า ที่ให้พละกำลังพร้อมกับความประหยัดที่ดี เครื่องยนต์ตัวนี้จับคู่มากับเกียร์อัตโนมัติ 8 สปีดที่ขึ้นชื่อเรื่องความนุ่มนวลและทนทาน เป็นอีกหนึ่งจุดเด่นที่ทำให้ออฟโรดรุ่นนี้ขับง่ายและใช้งานได้ครอบคลุมทั้งถนนดำและทางฝุ่น หมดนี้ทำให้ Jeep Wrangler JL ไม่ได้เป็นเพียงรถออฟโรดในตำนานแต่เป็นออฟโรดที่ปรับตัวเข้ากับยุคสมัยใหม่ได้อย่างชาญฉลาดและยังคงความเป็นตัวของตัวเองไว้ได้อย่างไม่ผิดเพี้ยน
เครื่องยนต์เบนซิน 2.0 ลิตร Hurricane GME-T4

ไฮไลต์สำคัญของ Jeep Wrangler JL คือขุมพลังใต้ฝากระโปรงที่มากับเครื่องเบนซิน 4 สูบเรียง ขนาด 2.0 ลิตร เทอร์โบ Hurricane GME-T4 เครื่องยนต์รุ่นนี้พัฒนาขึ้นเพื่อให้ตอบโจทย์ด้านพละกำลังและการประหยัดเชื้อเพลิงและได้รับความนิยมมากที่สุดในตลาดเมืองไทย
ปัญหาในช่วงแรกของการผลิตรถ jeep
รถ jeep wrangler JL ลอตแรก ๆ ที่ใช้เครื่องยนต์เบนซิน Hurricane GME-T4 มีโอกาสเจอปัญหาจุกจิกโดยเฉพาะไฟ “Check Engine” ที่โชว์ขึ้นมาบนหน้าปัด ทั้งที่รถเพิ่งใช้งานไปเพียงไม่กี่กิโลเมตร หรือบางรายก็เพิ่งออกจากโชว์รูมได้ไม่นาน สาเหตุหลักมักเกี่ยวข้องกับประเด็นด้านระบบไฟและการควบคุม เช่น สายไฟหรือขั้วต่อบางจุดหลวม เซนเซอร์บางตัวทำงานผิดปกติ หรือการควบคุมคุณภาพในกระบวนการผลิตยังไม่สม่ำเสมอ
ปัญหาเหล่านี้อาจไม่ใช่เรื่องใหญ่ในเชิงโครงสร้างเครื่องยนต์แต่ก็ทำให้ความเชื่อมั่นของผู้ใช้ในช่วงแรก ๆ สั่นคลอนพอสมควร โดยเฉพาะกับคนที่คาดหวังความแกร่งในแบบ Jeep ดั้งเดิม
ปัญหาระบบหล่อเย็น
หนึ่งในปัญหาใหญ่ที่เกิดขึ้นกับเครื่องยนต์ Hurricane GME-T4 ในช่วงปี 2018 – 2020 คือปัญหาที่เกิดจากการขันยึดไม่แน่นของท่อทางเข้าปั๊มน้ำ ซึ่งนำไปสู่การรั่วของน้ำหล่อเย็นบริเวณจุดเชื่อมต่อ ส่งผลให้เจ้าของรถหลายรายต้องเจอกับสถานการณ์น้ำหล่อเย็นรั่วไหลจนเกือบหมดทั้งระบบแม้จะยังใช้รถไปได้ไม่นาน
ปัญหานี้ได้รับการแก้ไขอย่างรวดเร็วโดย Jeep สั่งให้ตัวแทนจำหน่ายตรวจสอบแรงบิดในการขันยึดให้ได้ตามมาตรฐาน (11 นิวตันเมตร) และมีการเรียกรถคืนเพื่อปรับปรุงคุณภาพ แต่ก็กลายเป็นรอยด่างในความน่าเชื่อถือของเครื่องยนต์รุ่นใหม่นี้ในช่วงแรก ๆ ของการวางขาย นอกจากนี้ ปั๊มน้ำเองยังมีโอกาสเกิดปัญหาจากความบกพร่องในกระบวนการผลิต ซึ่งทำให้ซีลภายในเสียหาย และส่งผลให้เกิดการรั่วซึมในระบบหล่อเย็นอีกด้วย
ระบบ Start-Stop และแบตเตอรี่สำรอง
Wrangler JL ที่ใช้เครื่องยนต์เบนซิน 2.0 ลิตร เทอร์โบ จะมาพร้อมระบบ Start-Stop อัตโนมัติ ซึ่งช่วยลดการใช้น้ำมันเชื้อเพลิงในสภาพการจราจรติดขัด อย่างไรก็ตาม ระบบนี้ต้องอาศัยแบตเตอรี่ลูกเล็กที่ติดตั้งอยู่ใต้แบตเตอรี่หลัก ซึ่งในหลายกรณี ผู้ผลิตเลือกใช้แบตเตอรี่คุณภาพต่ำ ผลที่ตามมาคือแบตเตอรี่สำรองมักมีอายุการใช้งานไม่เกิน 2 ปี และเมื่อเริ่มเสื่อมจะส่งผลให้ระบบ Start-Stop ทำงานผิดปกติทันที เช่น เครื่องดับแล้วสตาร์ตไม่ติด หรือระบบไม่ตัดการทำงานของเครื่องอัตโนมัติในขณะจอดนิ่ง
ปัญหาเทอร์โบชาร์จเจอร์และ Turbo Lag
หนึ่งในข้อวิจารณ์ที่มักได้ยินจากผู้ใช้ Jeep Wrangler JL รุ่นเครื่องเบนซิน 2.0 ลิตร คืออาการ Turbo Lag ที่ค่อนข้างเด่นชัด โดยเฉพาะช่วงเร่งแซงอย่างรวดเร็ว รถจะมีจังหวะรอรอบก่อนที่กำลังจะมาอย่างเต็มที่ ซึ่งแตกต่างจากเทอร์โบของรถรุ่นคู่แข่งที่ตอบสนองไวกว่านี้ สาเหตุอาจเกิดจากหลายปัจจัย เช่น เทอร์โบชาร์จเจอร์เริ่มเสื่อมสภาพ แผ่นกรองอากาศสกปรก ปัญหาในระบบสุญญากาศหรือเซนเซอร์อากาศ ตลอดจนการทำงานผิดปกติของวาล์วเวสเกตซึ่งเป็นจุดควบคุมแรงดันเทอร์โบ
อาการที่มักพบได้ชัดคือเสียงหวีดผิดปกติจากเทอร์โบและการโชว์รหัสผิดพลาดบนหน้าจอที่บ่งบอกถึงปัญหาในการควบคุมเทอร์โบโดยตรง
ปัญหาน้ำมันเครื่องรั่วและการใช้น้ำมันเครื่องมากเกินไป
นอกจากระบบหล่อเย็นแล้ว เครื่องยนต์ Hurricane ยังเคยเจอปัญหาเรื่องการกินน้ำมันเครื่องมากกว่าปกติ สาเหตุส่วนใหญ่เกี่ยวข้องกับอุปกรณ์แลกเปลี่ยนความร้อนของน้ำมันเครื่องที่เกิดการรั่วซึมเมื่อเจอกับอุณหภูมิสูงเป็นเวลานาน นอกจากนี้ยังมีรายงานเรื่องปะเก็นกระบะน้ำมันเครื่องเสื่อมสภาพเร็วทำให้เกิดการรั่วซึมเล็กน้อยตามขอบเครื่องยนต์ ซึ่งแม้จะไม่อันตรายถึงขั้นต้องหยุดใช้งานทันที แต่ก็สร้างความรำคาญใจให้เจ้าของรถอยู่ไม่น้อย

เครื่องยนต์ดีเซล 2.2 ลิตร MULTIJET II
Jeep Wrangler JL ในตลาดรถมือสองของไทยยังมีรุ่นเครื่องยนต์ดีเซล 2.2 ลิตร MULTIJET II เป็นเครื่องยนต์แบบ 4 สูบเรียง มาพร้อมระบบฉีดเชื้อเพลิงแบบ Common Rail และมีระบบเทอร์โบแปรผัน ให้กำลังสูงสุด 200 แรงม้า แรงบิดสูงสุด 440 นิวตันเมตร เครื่องยนต์รุ่นนี้ใช้บล็อกอะลูมิเนียมหล่อขึ้นรูป ทำให้มีน้ำหนักเบากว่าพวกเครื่องยนต์บล็อกเหล็กหล่อ และระบายความร้อนได้เร็วกว่า นอกจากจะให้พละกำลังที่ดีแล้วยังเป็นปล่อยมลพิษต่ำด้วยเช่นกัน
ด้านปัญหาการใช้งาน เครื่องยนต์ดีเซล 2.2 ลิตร ของ Wrangler JL แทบไม่น่ากังวล เครื่องยนต์ตัวนี้ได้รับการยอมรับเรื่องความทนทานและความน่าเชื่อถือ เครื่องยนต์ค่อนข้างแข็งแกร่งและใช้งานในสภาพอากาศร้อนของเมืองไทยได้ดี ชิ้นส่วนต่าง ๆ ค่อนข้างแน่นหนาและทนทาน หากดูแลอย่างเหมาะสมก็สามารถใช้งานได้ยาว ๆ ถึงหลักแสนกิโลเมตรโดยไม่เจอปัญหาใหญ่กวนใจ
เครื่องยนต์เบนซิน V6 3.6 ลิตร Pentastar
อีกหนึ่งเครื่องยนต์ที่มีในไทยคือ เบนซิน V6 3.6 ลิตร Pentastar ถือเป็นหนึ่งในขุมพลังที่อยู่คู่รถยนต์ Jeep มาหลายรุ่น พร้อมด้วยชื่อเสียงด้านความทนทาน กำลังแรง และเสียงเดินเบาที่นุ่มนวล แต่ถึงจะดูแข็งแรงแค่ไหน เครื่องยนต์ตัวนี้ก็ไม่ได้สมบูรณ์แบบเสียทีเดียว โดยเฉพาะใน Jeep Wrangler JL รุ่นที่ติดตั้ง Pentastar ยังพบปัญหาเชิงเทคนิคบางจุดที่ต้องรู้ไว้ก่อนตัดสินใจซื้อหรือใช้งานระยะยาว
ปัญหา Rocker Arm
หนึ่งในปัญหาที่เจ้าของ Wrangler JL เครื่องยนต์ V6 3.6 ลิตร เจอบ่อยที่สุดคือปัญหาที่เกิดขึ้นกับ Rocker Arm ซึ่งทำหน้าที่ส่งแรงจากแคมชาฟต์ไปเปิด-ปิดวาล์วในห้องเผาไหม้ อาการที่มักพบคือได้ยินเสียงเคาะแปลก ๆ จากด้านบนของเครื่องยนต์ เครื่องยนต์เดินเบาไม่เรียบ มีอาการสั่น เครื่องติด ๆ ดับ ๆ หรือมีไฟ Check Engine โชว์ขึ้น เมื่อสแกนด้วยเครื่อง OBD จะพบรหัสปัญหาเกี่ยวกับการจุดระเบิดไม่สมบูรณ์ในบางสูบ
โดยทั่วไป Rocker arm ที่มีปัญหามักเกิดจากการสึกหรอของลูกปืนภายในหรือผิวสัมผัสที่ไม่เรียบ ทำให้เกิดแรงเสียดทานสะสมจนชิ้นส่วนหลุดล่อนหรือเสียหาย ส่งผลให้แคมชาฟต์ได้รับความเสียหายตามไปด้วย หากปล่อยไว้นาน อาจต้องเปลี่ยนหัวสูบทั้งฝั่ง
ปัญหาระบบหล่อเย็น
อีกหนึ่งปัญหาที่หลายคนคาดไม่ถึงคือปัญหาเกี่ยวกับระบบหล่อเย็นในเครื่องยนต์ Pentastar ซึ่งมีที่มาจากต้นทางของกระบวนการผลิต อาการที่เจ้าของรถบางคนพบคือหม้อน้ำอุดตันเร็วกว่าปกติ ออยล์คูลเลอร์ตัน เทอร์โมสตัทเสียในระยะทางไม่ถึง 50,000 กม. ตลอดจนปั๊มน้ำรั่วหรือเสียงดังผิดปกติ
สาเหตุหลัก ๆ ของปัญหานี้มาจากกระบวนการหล่อชิ้นส่วนเครื่องยนต์ด้วยทราย (sand casting) ซึ่งหากกระบวนการล้างและขัดเศษทรายไม่สะอาดพอ จะมีอนุภาคทรายตกค้างอยู่ในโพรงหรือผิวภายในของชิ้นส่วนเครื่องยนต์ เมื่อประกอบเสร็จและเริ่มใช้งาน เศษทรายเหล่านี้จะค่อย ๆ หลุดออกและไหลไปตามระบบหล่อเย็น สะสมจนกลายเป็นตะกอนและไปอุดตันหม้อน้ำหรือทำลายซีลยางในจุดต่าง ๆ ของระบบหล่อเย็นโดยตรง ผลที่ตามมาคือความร้อนสะสมในเครื่องยนต์และยังทำให้ส่วนอื่น ๆ อย่างปั๊มน้ำหรือออยล์คูลเลอร์สึกหรอเร็วกว่าปกติ

ระบบเกียร์รถจิ๊บ
นึ่งในจุดแข็งที่โดดเด่นของ Jeep Wrangler JL คือระบบส่งกำลังที่เลือกใช้เกียร์อัตโนมัติ 8 สปีดของ ZF ซึ่งถือว่าเป็นหนึ่งในเกียร์ที่มีชื่อเสียงที่สุดรุ่นหนึ่งของโลก และถูกใช้อย่างแพร่หลายในรถยนต์ระดับพรีเมียมหลายรุ่น ทั้ง BMW, Audi, Jaguar, Land Rover รวมถึงรถกลุ่มออฟโรดและ SUV อย่าง Dodge และ RAM
เกียร์ลูกนี้ได้รับคำชมอย่างต่อเนื่องในเรื่องความทนทาน การเปลี่ยนเกียร์ที่นุ่มนวล และสมรรถนะที่รับแรงบิดสูงได้ดี โดยเกียร์รุ่นนี้ประจำการอยู่ใน Wrangler JL รุ่นเครื่องยนต์เบนซินเทอร์โบ 2.0 ลิตร หรือเครื่องยนต์ดีเซล 2.2 ลิตร และเครื่องเบนซิน V6 3.6 ลิตร Pentastar
เกียร์อัตโนมัติ 8 สปีดเป็นระบบที่ผ่านการพิสูจน์มาแล้วว่าสามารถใช้งานได้ยาวนานถึง 200,000 – 300,000 กม. โดยไม่มีปัญหาร้ายแรงหากได้รับการดูแลอย่างถูกต้อง จุดสำคัญคือมันถูกออกแบบมาให้รองรับแรงบิดสูงได้อย่างต่อเนื่อง ซึ่งเหมาะกับการใช้งานหนัก ลากจูงของหนัก ขับขึ้นเขา หรือวิ่งทางวิบาก ที่รถอย่าง Wrangler ต้องเผชิญอยู่เสมอ แต่ความทนทานของเกียร์ก็มีข้อจำกัดนั่นคือไม่ควรใช้งานหนักต่อเนื่องโดยไม่พัก เช่น การลากน้ำหนักเกินพิกัดเป็นเวลานาน หรือการขับลุยหนักทุกวันโดยไม่เปลี่ยนถ่ายของเหลวตามระยะ เพราะสุดท้ายแล้ว ชิ้นส่วนภายในเกียร์ก็มีขีดจำกัดเช่นกัน
คำแนะนำในการบำรุงรักษาเกียร์
แม้ว่าเกียร์อัตโนมัติ 8 สปีดของรถจิ๊บ Wrangler JL จะระบุว่าไม่ต้องเปลี่ยนน้ำมันเกียร์ตลอดอายุการใช้งาน แต่ในความเป็นจริงไม่สามารถทำอย่างนั้นได้เพราะเกียร์ต้องรับหน้าที่หนักในการส่งกำลัง ดังนั้นการเปลี่ยนน้ำมันเกียร์ตามระยะคือสิ่งจำเป็น แนะนำว่าควรเปลี่ยนน้ำมันเกียร์ทุก 30,000 – 35,000 กม. ใช้น้ำมันเกียร์ที่ตรงสเปก ZF 8HP เท่านั้น และหากใช้งานหนัก เช่น ลุยทางออฟโรดบ่อย ขับใช้งานในสภาพรถติดในเมืองบ่อย ระยะเวลาเปลี่ยนถ่ายควรสั้นขึ้น
การเปลี่ยนน้ำมันเกียร์ตามระยะไม่ใช่แค่ช่วยรักษาความลื่นไหลของการเปลี่ยนเกียร์ แต่ยังยืดอายุของชิ้นส่วนภายใน เช่น ชุดคลัตช์แบบเปียก วาล์วบอดี้ และโซลินอยด์ควบคุมแรงดัน ที่เปราะบางต่อความร้อนและคราบสกปรก
ระบบขับเคลื่อนสี่ล้อ

หนึ่งในเอกลักษณ์ที่ทำให้ Jeep Wrangler JL แตกต่างจากรถ SUV หรือ Crossover ทั่วไป คือระบบขับเคลื่อนสี่ล้อที่ออกแบบมาเพื่อการลุยเส้นทางออฟโรดจริง ๆ ระบบ 4WD ที่ติดตั้งมาจากโรงงานนั้นมีความสามารถสูง รองรับการขับผ่านเส้นทางสมบุกสมบันทั้งหิน โคลน ทราย หรือแม้แต่หิมะได้เป็นอย่างดี
อย่างไรก็ตาม ความสามารถในการขับเคลื่อนที่เหนือชั้นนี้ก็ต้องแลกมาด้วยต้นทุนในการดูแลรักษา และมีจุดอ่อนที่ผู้ใช้งานควรรู้ไว้ล่วงหน้า โดยเฉพาะชิ้นส่วนของเพลาขับและชิ้นส่วนที่เกี่ยวข้องกับการส่งกำลัง
ปัญหายางหุ้มหัวเพลาขับ
หนึ่งในเรื่องที่ผู้ใช้ Wrangler JL หลายคนเจอเหมือนกัน คือปัญหาของยางหุ้มหัวเพลาขับซึ่งมักจะฉีกขาดได้ง่ายแม้จะไม่ได้ลุยหนัก ๆ ก็ตาม หลายคนบอกว่าขับแค่บนถนนดำในเมือง หรือวิ่งชานเมืองธรรมดา ๆ ก็ยังเจอปัญหายางหุ้มหัวเพลาขับแตก ทำให้จาระบีภายในก็จะรั่ว ส่งผลต่อเนื่องให้ข้อต่อภายในเสื่อมสภาพเร็วขึ้น และนำไปสู่การสึกหรอของเพลาขับอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
ที่น่าหงุดหงิดไปกว่านั้นคือยางหุ้มหัวเพลาขับแท้จากศูนย์จะไม่แยกขาย ต้องเปลี่ยนยกชุดทั้งเพลาขับ ทำให้ค่าใช้จ่ายสูงขึ้นทั้ง ๆ ที่ต้นตอของปัญหาเป็นแค่ยางเล็ก ๆ ชิ้นเดียว
ปัญหาแกนเพลาขับ
ถึงแม้ระบบ 4WD จะสร้างชื่อเสียงให้ Jeep Wrangler มาอย่างยาวนานแต่ก็ใช่ว่าจะไร้จุดอ่อน หนึ่งในชิ้นส่วนที่บอบบางกว่าที่ควรคือแกนเพลาขับทั้งหน้าและหลัง ซึ่งในหลายกรณีเสื่อมสภาพหรือเสียหายก่อนเวลาอันควร
ในกลุ่มผู้ใช้ Jeep มักพูดกันเล่น ๆ ว่า “แกนเพลาขับคือของสิ้นเปลืองที่แพงที่สุดของรถออฟโรด” เพราะรถบางคันยังไม่ทันได้ไปลุยหนักแบบเต็มรูปแบบ แต่แกนเพลาขับก็เริ่มมีเสียงดังหรือสั่นผิดปกติแล้ว
โดยทั่วไปแล้วแกนเพลาขับของ Wrangler JL มักมีอายุการใช้งานประมาณ 70,000 – 80,000 กม. บางรายที่ใช้งานหนักหน่อย อาจต้องเปลี่ยนตั้งแต่ระยะ 50,000 กม. หรือบางคันที่โชคร้ายมากหน่อย ก็ต้องเปลี่ยนถึง 2 ครั้งก่อนถึงแสนกิโลเมตร ทั้งที่ไม่ได้เอารถไปลุยหินลุยโคลนแบบจริงจังเลยด้วยซ้ำ
ระบบช่วงล่าง

ระบบช่วงล่างของ Jeep Wrangler JL เป็นอีกหนึ่งจุดที่ผู้ใช้มีความเห็นแตกต่างกันไปอย่างชัดเจน บางคนขับใช้งานได้อย่างไม่มีปัญหาเกือบแสนกิโลเมตร ในขณะที่อีกหลายคนกลับเจอปัญหาตั้งแต่หลักพันกิโลเมตรแรก ซึ่งทำให้ภาพรวมเรื่องความน่าเชื่อถือของช่วงล่าง JL กลายเป็นหัวข้อถกเถียงกันไม่รู้จบในกลุ่มเจ้าของรถ
ปัญหาเรื่องโช้คอัพ
เสียงบ่นเรื่องโช้คอัพเป็นหนึ่งในหัวข้อยอดนิยมสำหรับผู้ใช้ Wrangler JL โดยเฉพาะโช้คอัพหลัง มีเจ้าของรถหลายรายที่พบว่าเพียงขับไปไม่กี่พันกิโลเมตร โช้คก็เริ่มมีน้ำมันรั่วซึม แม้จะยังขับใช้งานต่อไปได้แต่ก็ส่งผลต่อประสิทธิภาพการดูดซับแรงกระแทกอย่างเห็นได้ชัด
อีกกรณีหนึ่งที่ถูกพูดถึงคือเจ้าของรถเคลมโช้คอัพชุดแรกในระยะไม่ถึง 10,000 กม. และเมื่อได้ชุดใหม่มาใช้งาน กลับเจออาการเดิมในระยะใกล้เคียงกัน ต้องเคลมซ้ำอีกรอบ ทำให้เจ้าของหลายรายหมดความอดทนกับโช้คอัพติดรถ และตัดสินใจเปลี่ยนไปใช้โช้คอัพแต่งจากแบรนด์ชื่อดังที่ทนทานและรองรับการลุยได้ดีกว่า เช่น Fox, Old Man Emu หรือ Bilstein
ปัญหาเกี่ยวกับผ้าเบรก
แม้จะไม่ใช่จุดอ่อนใหญ่เท่าโช้คอัพแต่ผ้าเบรกของ Wrangler JL ก็มีประเด็นอยู่พอสมควร จากรายงานของเจ้าของรถหลายคนพบว่าอายุการใช้งานของผ้าเบรกนั้นไม่แน่นอนเอาเสียเลย บางคันวิ่งได้เกิน 50,000 กม. โดยไม่ต้องเปลี่ยน ขณะที่บางคันเจอปัญหาผ้าเบรกด้านในสึกทั้งที่เพิ่งวิ่งไปไม่ถึง 20,000 กม.
ที่น่าสนใจคือปัญหาการสึกของผ้าเบรกมักเกิดไม่เท่ากันโดยฝั่งด้านในของล้อหน้าจะเจอมากที่สุด ชี้ให้เห็นถึงความไม่สมบูรณ์ของแรงกดของคาลิเปอร์หรือการติดตั้งจากโรงงานที่อาจมีความคลาดเคลื่อน
การปรับแต่งเพื่อแก้ไข
ด้วยความไม่แน่นอนของชิ้นส่วนมาตรฐาน หลายคนจึงเลือกแนวทางการปรับแต่งตั้งแต่แรก ๆ เช่น
- เปลี่ยนโช้คอัพทั้ง 4 ต้นทันทีหลังหมดระยะรันอิน
- ใช้ผ้าเบรกเซรามิกคุณภาพสูงเพื่อเพิ่มอายุการใช้งาน
- ติดตั้งระบบช่วงล่างปรับระดับได้สำหรับคนที่เน้นการใช้งานแบบออฟโรดจริงจัง
แม้ว่าการปรับแต่งเหล่านี้จะมีค่าใช้จ่ายเพิ่มแต่ก็มักจะคุ้มค่ากว่าในระยะยาว เพราะลดโอกาสเสียและต้องซ่อมซ้ำซ้อน และช่วยให้ประสิทธิภาพการควบคุมรถดีขึ้น
ตัวถังภายนอกและปัญหาที่พบ
แม้ Jeep Wrangler JL จะมีภาพลักษณ์ของรถออฟโรดสายลุย บึกบึน และดูพร้อมจะพาไปทุกที่ แต่เมื่อพูดถึงรายละเอียดเล็ก ๆ น้อย ๆ โดยเฉพาะเรื่องวัสดุและงานประกอบของตัวถังกับภายในห้องโดยสารก็ยังมีจุดให้ต้องปรับปรุงอยู่ไม่น้อย บางปัญหาอาจดูเป็นเรื่องเล็กแต่ถ้าเจอบ่อยหรือเกิดซ้ำ ๆ ก็กลายเป็นเรื่องใหญ่ในแง่ของความรู้สึกและคุณภาพในระยะยาว

ปัญหาสลักเกลียวประตูขึ้นสนิมเร็ว
หนึ่งในปัญหาที่เจ้าของ Wrangler JL หลายคนเจอเหมือน ๆ กันคือสนิมที่สลักเกลียวประตูที่มาเร็ว บางรายพบสนิมชัดเจนตั้งแต่ 10,000 – 20,000 กม. โดยเฉพาะในรุ่นที่ใช้งานในสภาพอากาศชื้นหรือขับผ่านฝนบ่อย ๆ จุดที่น่าแปลกคือแม้ตัวถังจะมีการเคลือบกันสนิมมาดีพอสมควรแต่กลับละเลยการปกป้องในรายละเอียดเล็ก ๆ อย่างหัวสกรูและบานพับ ทำให้เกิดรอยสนิมที่มองเห็นได้ชัดเจน
การแก้ปัญหาสามารถทำได้โดยการถอดสกรูทั้งหมดออกมาเคลือบกันสนิมใหม่ก่อนใส่กลับเข้าไป หรือใช้น้ำยากันสนิมเคลือบซ้ำบริเวณหัวนอต แต่วิธีที่จบที่สุดคือเปลี่ยนเป็นไปใช้นอตสเตนเลสที่เกรดสูงกว่าของเดิม แน่นอนว่าวิธีเหล่านี้ต้องทำด้วยตัวเองหรือให้ศูนย์บริการช่วยดำเนินการให้ เพราะไม่อยู่ในการครอบคลุมของบริการมาตรฐาน
ปัญหาระบบไล่ฝ้ากระจกหลัง
Wrangler JL ที่ใช้งานในสภาพชื้นเป็นประจำอาจเจอปัญหาใหญ่จุดเชื่อมต่อของเส้นไล่ฝ้ากระจกหลังหลุดออกเองเหมือนว่าไม่ได้ยึดแน่นตั้งแต่ต้น ปัญหาคือข้อบกพร่องจากโรงงาน ทำให้การใช้งานระบบไล่ฝ้าไม่ได้ประสิทธิภาพเท่าที่ควร หากรถยังอยู่ในประกันควรรีบทำเรื่องเคลมกระจกหลังทั้งบาน แต่ถ้าหมดประกันแล้วสามารถหาชุดซ่อมพิเศษที่เชื่อมจุดสัมผัสกลับเข้าไปได้โดยไม่ต้องเปลี่ยนทั้งบานแทนได้
งานตกแต่งภายในห้องโดยสาร
Jeep Wrangler JL จะไม่ใช่รถที่เน้นความหรูหราดังนนั้นงานตกแต่งภายในจึงถูกออกแบบให้สมบุกสมบัน ทนทาน และใช้งานง่าย อย่างไรก็ตาม วัสดุพลาสติกแข็งบางส่วนมีเสียงดังกรอบแกรบเวลาขับผ่านทางขรุขระ ซึ่งหลายคนมองว่าไม่สมราคากับรถระดับนี้ โดยจุดที่เจอบ่อยได้แก่ ช่องเก็บของฝั่งผู้โดยสารและแผงประตูด้านในที่เริ่มมีเสียงดังเมื่อตัวรถบิดตัวขณะลุยทางขรุขระ
ปัญหานี้แก้ได้โดยการบุฉนวนกันเสียงเพิ่มหรือติดแผ่นรองซับเสียงภายในแผงประตู เพื่อช่วยลดเสียงรบกวนเวลาขับขี่ทางขรุขระ
สรุป Jeep Wrangler JL น่าใช้หรือไม่

Jeep Wrangler JL เป็นรถออฟโรดที่มีบุคลิกเฉพาะตัวชัดเจนที่สุดคันหนึ่งในตลาด หากจะให้เปรียบเทียบ มันคือการผสมผสานระหว่างเสน่ห์ของความคลาสสิกกับเทคโนโลยีที่พยายามจะก้าวให้ทันยุคใหม่ แต่ขณะเดียวกันก็ยังพ่วงเอาจุดอ่อนบางอย่างจากรุ่นก่อน ๆ ติดมาด้วย
รถจิ๊บ JL มันไม่ใช่รถที่คุณจะเลือกด้วยเหตุผลแบบตรงไปตรงมา เช่น “ประหยัดน้ำมัน” หรือ “นั่งสบายในเมือง” แต่เป็นรถที่คุณต้องรู้สึกอยากได้จริง ๆ เพราะมันมีตัวตนมากพอที่จะทำให้คุณยอมรับข้อจำกัดบางอย่างที่รถรุ่นนี้พกติดมาด้วย
สำหรับใครที่หลงใหลในสไตล์ออฟโรดแบบอเมริกันพันธุ์แท้ การมี Jeep Wrangler สักคันคือความฝันที่จับต้องได้ ซึ่ง Wrangler JL ก็เติมเต็มความฝันนี้ด้วยสมรรถนะที่ลุยได้จริง ความแข็งแกร่งของโครงสร้าง และดีไซน์ที่สืบทอดจิตวิญญาณของ Jeep มาตั้งแต่ยุคสงครามโลก
ในทางกลับกัน ถ้าคุณมองหารถที่ขับแล้วจบเลย ไม่ต้องดูแลเยอะ หรืออยากได้รถไว้ใช้ทุกวันโดยไม่ต้องคิดมากเรื่องค่าใช้จ่ายในระยะยาว Wrangler JL อาจไม่ใช่คำตอบสำหรับคุณ
Wrangler JL มือสองในตลาดเมืองไทยหลายคันเริ่มมีราคาที่น่าสนใจขึ้นเรื่อย ๆ แต่ก่อนจะตัดสินใจซื้อ ควรต้องตรวจเช็กประวัติการบำรุงรักษาอย่างละเอียด พิจารณาปัญหาที่พบเจอบ่อย เช่น ระบบหล่อเย็น ช่วงล่าง หรือระบบไฟฟ้าบางจุด และเตรียมงบประมาณสำรองไว้เผื่อปัญหาจุกจิกที่อาจเกิดขึ้น
อย่าลืมว่า Jeep ไม่ได้ออกแบบมาให้เป็นรถซ่อมง่ายแบบรถญี่ปุ่น แต่เป็นรถที่ต้องการการดูแลเฉพาะด้าน เหมือนเครื่องมือที่พร้อมทำงานหนักแต่ก็ต้องการการปรับแต่งอย่างถูกวิธี แม้จะมีปัญหาให้บ่นกันบ้าง แต่ถ้าเจ้าของดูแลรถอย่างสม่ำเสมอและรู้จุดอ่อนต่าง ๆ ของรถ Jeep Wrangler JL ก็พร้อมจะเป็นรถออฟโรดสุดเท่ที่พาคุณออกไปผจญภัยในโลกกว้างอย่างมีความสุขได้ไม่รู้จบ
ค้นหา jeep wrangler ราคามือสอง ที่ใช่สำหรับคุณ
เรารวบรวมประกาศขาย jeep มือสองจาก Facebook Marketplace, Kaidee, One2Car และ TaladRod มาไว้ในที่เดียว
เลือกดู jeep มือสองเช็คประเภทผู้ขาย แล้วเลือกคันที่ตรงใจคุณได้ง่ายๆ
พบกับดี jeep wrangler มากมายที่นี่ →jeep wrangler มือสอง
- กรุงเทพมหานคร, 500 km
- ยี่ห้อ: Jeep
- รุ่น: Wrangler
- แหล่งที่มา: Facebook, Kaidee, One2Car, TaladRod