Chevrolet Captiva Gen 1 มือสอง: ค่าตัวไม่แรง แต่คุณภาพเกินคุ้ม

ในตลาดรถมือสองของไทย หลายคนน่าจะคุ้นเคยกับแบรนด์ Chevrolet จากรถรุ่นยอดนิยมอย่าง Colorado, Aveo, Cruze หรือ Optra แต่ถ้าพูดถึงรถอเนกประสงค์หรือ Crossover SUV หลายคนอาจลืมไปว่า รถ chevrolet ก็เคยส่ง captiva ลงสู่ตลาดเช่นกัน ซึ่งในยุคหนึ่งถือเป็นรถที่ตอบโจทย์ครอบครัวไทยได้ดีไม่น้อย
Chevrolet Captiva เจเนอเรชันที่ 1 เปิดตัวครั้งแรกในไทยเมื่อปี 2007 และได้รับความนิยมพอสมควร ด้วยดีไซน์ที่ทันสมัยในภาพลักษณ์รถอเมริกัน ห้องโดยสารกว้างขวาง เครื่องยนต์ที่ทรงพลัง แถมยังมาพร้อมระบบขับเคลื่อนสี่ล้อที่น่าสนใจ ซึ่งในเวลานั้นถือว่าคุ้มค่าสำหรับ Crossover SUV ขนาดกลางพิกัดราคา 1 ล้านกลาง ๆ
Captiva เจเนอเรชันที่ 1 มีการปรับโฉมไมเนอร์เชนจ์ครั้งแรกในปี 2011 มาพร้อมกระจังหน้าและไฟหน้าใหม่ที่ดูพรีเมียมขึ้น เพิ่มรายละเอียดเล็ก ๆ น้อย ๆ และปรับโฉมอีกครั้งในปี 2016 อัปเกรดหน้าตาและอุปกรณ์ให้ทันสมัยมากขึ้น ทำให้ Captiva ในปีหลัง ๆ ยังคงดูสดใหม่แม้จะผ่านเวลามา 10 ปีแล้ว
แม้จะเป็นรถมือสองแต่ Captiva เจเนอเรชันที่ 1 ก็ยังเป็นตัวเลือกที่คุ้มค่าโดยเฉพาะกับคนที่ต้องการ Crossover SUV ขนาดกลางที่ราคาจับต้องได้ ห้องโดยสารกว้าง รองรับได้ 7 ที่นั่ง มีความสูงโปร่ง นั่งสบาย เหมาะกับครอบครัว และยังมีระบบความปลอดภัยครบครัน นอกจากนี้รุ่นดีเซลยังขึ้นชื่อเรื่องความทนทานและยังพอหาอะไหล่ได้อยู่ในปัจจุบัน
สำหรับใครที่กำลังมองหา Crossover SUV มือสองคุณภาพดี รูปลักษณ์ยังดูไม่เก่ามาก Chevrolet Captiva เจเนอเรชันที่ 1 เป็นอีกหนึ่งตัวเลือกที่น่าสนใจ บทความนี้จะมาเจาะลึกถึงจุดเด่น ข้อดี-ข้อด้อย ปัญหาที่พบ คำแนะนำในการบำรุงรักษา และเทคนิคเลือกคันที่ใช่สำหรับคุณ

ตัวถังและภายนอก Captiva
Chevrolet Captiva เจเนอเรชันที่ 1 เป็นตัวเลือกที่น่าสนใจเพราะรุ่นนี้ในตลาดเมืองไทยมีให้เลือกหลายรุ่นย่อยทั้งรุ่นเครื่องยนต์เบนซินและดีเซล รวมถึงแบบขับเคลื่อนสองล้อหรือขับเคลื่อนสี่ล้อ
สิ่งที่ต้องสังเกตอย่างแรกคือสภาพสีและตัวถังภายนอก รวมไปถึงชิ้นส่วนตกแต่งโครเมียมตามจุดต่าง ๆ เนื่องจากรถที่มีอายุเกิน 10 ปีขึ้นไป มักพบปัญหาคราบหมองหรือสีซีดจาง โดยเฉพาะโครเมียมรอบกระจังหน้า มือจับประตู และแถบตกแต่ง นอกจากนี้ ฝากระโปรงท้ายและฝากระโปรงหน้าก็มักเป็นจุดที่สีเริ่มซีดหรือเป็นรอย รวมถึงขอบด้านบนของกระจกบังลมหน้า ซึ่งบางคันอาจมีรอยสนิมหรือคราบน้ำที่เกิดจากการใช้งานกลางแจ้งเป็นเวลานาน
เมื่อเลือกซื้อ Captiva มือสองควรตรวจสอบสภาพตัวถังโดยละเอียด รวมถึงเปิดฝากระโปรงท้ายและประตูรอบคันเพื่อตรวจดูขอบยาง ซีล และบานพับว่ามีสนิมหรือไม่ เพื่อป้องกันค่าใช้จ่ายแอบแฝงในภายหลัง

ภายในห้องโดยสารเชฟโรเลต แคปติวา
ภายในห้องโดยสารของ รถ chevrolet captiva เจเนอเรชันที่ 1 ยังคงดูดีและใช้งานได้จริง เบาะนั่งรองรับสรีระดี ให้อารมณ์กว้างขวาง นั่งสบาย เหมาะสำหรับการเดินทางไกล ส่วนแผงหน้าปัดและคอนโซลถูกออกแบบอย่างเรียบง่าย และปุ่มควบคุมต่าง ๆ อยู่ในตำแหน่งที่เข้าใจได้ง่าย

จุดที่ควรระวังคือแผงพลาสติกเคลือบสีเงินที่ใช้ตกแต่งในหลายจุด ซึ่งเมื่อผ่านการใช้งานนาน ๆ อาจมีรอยขีดข่วนหรือหลุดลอกได้ แต่ก็ไม่ใช่เรื่องใหญ่ เพราะสามารถแก้ไขได้ง่ายด้วยการหุ้มฟิล์มใหม่หรือพ่นสีซ่อมเฉพาะจุด
ถึงแม้จะไม่หรูหราเท่าคู่แข่งบางรุ่น แต่คุณภาพวัสดุและการประกอบของ Captiva เจเนอเรชันที่ 1 ก็ถือว่าดีเมื่อเทียบกับราคา อีกทั้งยังมีฟีเจอร์ที่ตอบโจทย์ เช่น พวงมาลัยมัลติฟังก์ชัน ระบบควบคุมความเร็วอัตโนมัติ Cruise Control และเบาะนั่งแบบปรับไฟฟ้าในบางรุ่นย่อย
ระบบไฟฟ้าและอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์

หนึ่งในจุดที่ควรใส่ใจเมื่อซื้อ Chevrolet Captiva เจเนอเรชันที่ 1 มือสองคือระบบไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์ เพราะมีรายงานว่ารถรุ่นนี้มักเจอปัญหาเล็ก ๆ น้อย ๆ เช่น มอเตอร์พัดลมแอร์หรือกลไกควบคุมแผงบังคับอากาศทำงานไม่สมบูรณ์ และเมื่อรถอายุมากขึ้น ขั้วต่อไฟฟ้าในบางจุดอาจเกิดคราบสกปรกหรือสนิมทำให้ไฟเตือนหรือข้อความแจ้งเตือนต่าง ๆ ปรากฏบนหน้าปัด
รุ่นเครื่องยนต์ดีเซลที่ผลิตก่อนปี 2014 หลายคันเจอปัญหาสายไฟหลักที่ต่อกับแบตเตอรี่ สตาร์ทเตอร์ และไดชาร์จ มีขั้วต่อหลวม ทำให้การจ่ายไฟไม่เสถียร ซึ่งอาจทำให้เครื่องยนต์สตาร์ทติดยากหรือมีไฟแจ้งเตือนโผล่ขึ้นมา ทางที่ดีก่อนตัดสินใจซื้อควรนำรถไปให้ช่างไฟฟ้ารถยนต์ตรวจสอบระบบไฟและอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ทุกอย่างโดยละเอียด เพื่อให้มั่นใจว่ารถคันนั้นพร้อมใช้งานจริง และไม่มีปัญหาที่อาจตามมาภายหลัง
ตัวเลือกเครื่องยนต์ของ Chevrolet Captiva รุ่นที่ 1

Chevrolet Captiva เจเนอเรชันที่ 1 มีในไทยทั้งหมด 3 เครื่องยนต์ ดังนี้
- ดีเซล 4 สูบ 2.0 ลิตร เทอร์โบ กำลัง 150 แรงม้า แรงบิด 320 นิวตันเมตร เป็นเครื่องยนต์ที่ได้รับความนิยมมากกว่าและยังขึ้นชื่อเรื่องความเรียบง่าย ทนทาน ประหยัดน้ำมัน และให้สมรรถนะที่ดี
- ดีเซล 4 สูบ 2.2 ลิตร เทอร์โบ VCDi กำลัง 163 แรงม้า แรงบิด 360 นิวตันเมตร เปิดตัวมาในปี 2011 พร้อมกับการปรับโฉมไมเนอร์เชนจ์ครั้งแรก
- บนซิน 4 สูบ 2.4 ลิตร แบ่งเป็น 3 เครื่องยนต์ ได้แก่
- รุ่นก่อนปรับโฉมปี 2007 – 2010 เครื่องยนต์เบนซิน Family II กำลัง 142 แรงม้า แรงบิด 220 นิวตันเมตร
- รุ่นปี 2010 เครื่องยนต์เบนซิน Ecotec รองรับน้ำมัน E20 กำลัง 165 แรงม้า แรงบิด 225 นิวตันเมตร
- รุ่นปี 2011 เครื่องยนต์เบนซิน Ecotec รองรับน้ำมัน E85 กำลัง 168 แรงม้า แรงบิด 229 นิวตันเมตร
ปัญหาและการดูแลเครื่องยนต์ดีเซล
Chevrolet Captiva เจเนอเรชันที่ 1 รุ่นเครื่องยนต์ดีเซลทั้ง 2.0 และ 2.2 ลิตร มีหลายอย่างที่ผู้ซื้อควรตรวจสอบอย่างรอบคอบ เริ่มจากพูลเลย์เพลาข้อเหวี่ยงที่มาพร้อมกับตัวลดแรงสั่นสะเทือนที่ทำจากยาง จุดนี้เมื่อใช้งานไปนาน ๆ ยางที่จะเริ่มเสื่อมสภาพหรือฉีกขาด ถ้าเกิดความเสียหายขึ้นเครื่องยนต์จะมีเสียงดังผิดปกติ มีอาการสั่นมากขึ้น และที่สำคัญคือกินน้ำมันมากขึ้นเพราะเครื่องทำงานไม่ราบรื่นเหมือนเดิม
นอกจากนี้ ตัวกรองอนุภาคไอเสีย (DPF) ก็เป็นอีกจุดที่ควรระวัง ถ้าใช้รถขับในเมืองเป็นหลัก วิ่งสั้น ๆ หรือรถติดบ่อย ๆ มีโอกาสที่ตัวกรองจะตันได้เร็ว ทำให้ไฟแจ้งเตือนโชว์ขึ้นหน้าปัดและอาจต้องเสียค่าใช้จ่ายในการทำความสะอาดหรือเปลี่ยนตัวกรอง ทางแก้ที่ง่ายและได้ผลคือพยายามนำรถออกวิ่งทางไกลหรือบนทางด่วนด้วยความเร็วปานกลางถึงสูงเป็นระยะเพื่อให้ระบบสามารถเผาไหม้เขม่าได้อย่างสมบูรณ์ตามที่ออกแบบมา
อีกระบบหนึ่งที่ต้องใส่ใจคือระบบหมุนเวียนไอเสีย (EGR) ที่ช่วยลดการปล่อยมลพิษจากเครื่องยนต์ดีเซล เมื่อใช้ไปนาน ๆ คราบเขม่าที่สะสมในวาล์วและท่อทางเดินไอเสียอาจทำให้ระบบอุดตัน ส่งผลต่อการทำงานของเครื่องยนต์และอัตราสิ้นเปลืองน้ำมัน ดังนั้น การนำรถเข้าอู่ที่เชี่ยวชาญเพื่อล้างระบบ EGR เป็นระยะจึงเป็นสิ่งจำเป็น
และที่พบบ่อยใน Captiva ดีเซลคือการรั่วซึมบริเวณใต้อ่างน้ำมันเครื่องและฝาครอบวาล์ว สาเหตุมาจากซีลยางและปะเก็นเสื่อมสภาพตามอายุการใช้งาน แม้ไม่ใช่ปัญหาร้ายแรงแต่ก็ควรตรวจสอบและเปลี่ยนให้เรียบร้อยเมื่อพบปัญหาเพื่อให้แน่ใจว่าไม่มีน้ำมันหยดหรือติดอยู่ที่เครื่องยนต์เพราะอาจทำให้เกิดคราบหรือปัญหาอื่นตามมาได้
ปัญหาและการดูแลเครื่องยนต์เบนซิน
เครื่องยนต์เบนซิน 2.4 ลิตร ของ Chevrolet Captiva เจเนอเรชันที่ 1 ทุกรุ่นดูแลง่ายและทนทาน แม้รุ่นก่อนปรับโฉมจะมีกำลังอยู่ที่ 142 แรงม้า ซึ่งอาจไม่หวือหวาเท่าเครื่องยนต์สมัยใหม่แต่ก็เพียงพอสำหรับการใช้งานทั่วไปในชีวิตประจำวัน จุดเด่นของเครื่องยนต์บล็อกเหล็กหล่อ 4 สูบนี้คือความเรียบง่ายและทนทานสูง คันที่ได้รับการดูแลดี ๆ สามารถวิ่งได้เกิน 300,000 กม.
ข้อควรระวัง สำหรับเครื่องยนต์ 2.4 ลิตร ได้แก่
- ฝาครอบวาล์วมักพบการรั่วซึมของน้ำมันเครื่องเมื่ออายุการใช้งานมาก ควรตรวจสอบรอยรั่วซึมและทำการแก้ไข
- ซีลเพลาข้อเหวี่ยงด้านหลังมีโอกาสรั่วซึมเช่นกัน อาจพบคราบน้ำมันที่ใต้เครื่องยนต์
- เทอร์โมสตัท ควรตรวจสอบและเปลี่ยนเมื่อจำเป็น เพราะหากชำรุดอาจทำให้เครื่องยนต์ร้อนเกินไป
- สายพานไทม์มิ่งต้องเปลี่ยนตามระยะทุก 60,000 กม. และแนะนำให้เปลี่ยนปั๊มน้ำไปพร้อมกันเพื่อลดความเสี่ยงในอนาคต
หลังจากปี 2011 ซึ่งเป็นรุ่นปรับโฉมไมเนอร์เชนจ์ Captiva เปลี่ยนไปใช้เครื่องยนต์เบนซิน 2.4 ลิตรบล็อกใหม่ที่ทันสมัยขึ้น ใช้กระบอกสูบอะลูมิเนียมแทนเหล็กหล่อเพื่อลดน้ำหนัก และมีการเพิ่มเพลาสมดุลเพื่อลดแรงสั่นสะเทือน ทำให้มีการทำงานที่นุ่มนวลขึ้น
อีกจุดที่ควรใส่ใจคือชุดขับวาล์วแบบโซ่ที่มาแทนสายพานแบบเดิม จุดนี้ถือว่าทนทานกว่าแต่ก็ต้องระวังเรื่องความยืดหรือการเสื่อมสภาพ โดยเฉพาะเมื่อรถวิ่งเกิน 100,000 กม. เพราะโซ่มีสองเส้นแยกกันสำหรับชุดวาล์วและเพลาสมดุล หากโซ่ยืดหรือขาด อาจทำให้เครื่องยนต์เสียหายหนักได้

ระบบส่งกำลัง
Chevrolet Captiva เจเนอเรชันที่ 1 รุ่นปีแรก ๆ ทั้งเครื่องเบนซินและดีเซลจะใช้เกียร์อัตโนมัติ 5 สปีด เกียร์รุ่นนี้ขึ้นชื่อเรื่องความเรียบง่าย ทนทาน และให้การตอบสนองที่ดี ทั้งยังไม่มีปัญหาใหญ่ที่น่ากังวล และถ้าบำรุงรักษาดี ๆ ก็สามารถใช้งานได้ถึง 250,000 กม.
หลังการปรับโฉมไมเนอร์เชนจ์ปี 2011 มีการเปลี่ยนไปใช้เกียร์อัตโนมัติ 6 สปีดที่ส่งกำลังราบรื่นและนุ่มนวลมากขึ้น เกียร์รุ่นนี้มีฟังก์ชัน Driver Shift Control (DSC) ให้ผู้ขับขี่ปรับเปลี่ยนเกียร์ได้เองแบบเกียร์ธรรมดา ทำให้ได้รับการพูดถึงเรื่องความเสถียรของการส่งกำลังและยังมีความทนทานที่ไว้ใจได้ หากดูแลรักษาอย่างเหมาะสม เปลี่ยนน้ำมันเกียร์ตามระยะที่กำหนด ขับขี่แบบทะนุถนอม ก็สามารถใช้งานได้ถึงหลักแสนกิโลเมตรโดยไม่พบปัญหาใหญ่
ระบบขับเคลื่อนสี่ล้อ

ระบบขับเคลื่อนสี่ล้อของ รถ captiva เจเนอเรชันที่ 1 เป็นระบบขับเคลื่อนสี่ล้อแบบ All Wheel Drive On-Demand ซึ่งในสภาพถนนปกติระบบจะถ่ายทอดกำลังลงสู่ล้อคู่หน้าทั้งหมดแบบ 100% เหมือนกับเป็นรถขับเคลื่อนล้อหน้าเพื่อช่วยเรื่องความประหยัดน้ำมัน แต่เมื่อสภาพการขับขี่เปลี่ยนไป เช่น รถขึ้นทางลาดชัน หรือเจอพื้นผิวถนนที่เปียกลื่น ระบบจะสั่งให้ตัว Active Coupling แบบแม่เหล็กไฟฟ้าจับเฟืองท้ายเพื่อถ่ายทอดแรงบิดจากล้อคู่หน้าไปสู่ล้อคู่หลังโดยอัตโนมัติในอัตราส่วนล้อหน้า 50% ล้อหลัง 50% หรืออาจจะมากหรือน้อยกว่านี้ ขึ้นอยู่กับสภาพถนนและการขับขี่ เทคโนโลยีนี้ถือว่าล้ำสมัยมากในยุคนั้นและเป็นหนึ่งในจุดขายของรถที่ทำให้หลายคนสนใจ แต่ระบบนี้ก็มีข้อควรระวังที่ต้องพิจารณาเช่นกัน
ระบบขับเคลื่อนสี่ล้อของ Captiva ใช้คลัตช์ไฟฟ้าควบคุมการกระจายแรงบิดไปยังล้อหลังตามสภาพถนน จุดที่ต้องระวังคือคลัตช์ชุดนี้ไม่ถูกออกแบบมาเพื่อใช้งานหนักแบบลุยโคลนหรือลุยเส้นทางออฟโรดโหด ๆ ถ้าใช้งานหนักบ่อย ๆ เช่น ลุยน้ำลึก ลุยโคลน ลุยทราย ปีนก้อนหิน อาจทำให้ชิ้นส่วนภายในรับภาระหนักเกินไป นำไปสู่ความเสียหายของกลไกไฟฟ้าได้
อีกหนึ่งจุดสำคัญที่คือการเปลี่ยนน้ำมันเฟืองท้ายและใน Transfer case ผู้ผลิตแนะนำให้เปลี่ยนน้ำมันที่ระยะทางประมาณ 100,000 กม. แต่ถ้าอยากให้ระบบขับเคลื่อนสี่ล้อทำงานเต็มประสิทธิภาพและลดความเสี่ยงของปัญหาต่าง ๆ แนะนำให้เปลี่ยนทุก 80,000 กม. เพราะน้ำมันในระบบนี้มักเสื่อมสภาพจากความร้อนและแรงเสียดทานที่เกิดขึ้นเมื่อใช้งานหนัก
อีกหนึ่งจุดอ่อนที่ต้องดูดี ๆ คือบูชเฟืองท้ายซึ่งเป็นส่วนที่รับแรงสั่นสะเทือนและแรงบิดจากเพลาขับ ถ้าบูชเสื่อมหรือแตกจะส่งผลต่อความมั่นคงของเพลาขับทันที และอาจทำให้เกิดเสียงดังหรือแรงสั่นสะเทือนมากขึ้น ดังนั้นควรตรวจสอบสภาพเป็นระยะโดยเฉพาะเมื่อรถเริ่มมีอายุการใช้งานมากขึ้น
สำหรับคนที่สนใจ Captiva รุ่นขับเคลื่อยสี่ล้อและมีแผนจะพาไปลุยทางฝุ่นหรือทางวิบากบ่อย ๆ ต้องระวังเป็นพิเศษ เพราะข้อต่อ Universal Joint ของเพลาขับหลังค่อนข้างเปราะบาง ถ้าต้องวิ่งทางลุยโหด ๆ บ่อย ๆ อาจทำให้ข้อต่อเสื่อมเร็วกว่าปกติ และยังมีข้อต่อกลางเพลาขับหลังที่อาจเริ่มมีปัญหาที่ระยะ 60,000 – 70,000 กม. การใช้งานแบบออฟโรดหนัก ๆ บ่อยครั้งจะทำให้ชิ้นส่วนเหล่านี้เสื่อมสภาพเร็วขึ้นและต้องใหม่เปลี่ยนระยะทางที่สั้นกว่าปกติ
ระบบกันสะเทือน
ระบบกันสะเทือนของ Chevrolet Captiva เจเนอเรชันที่ 1 ออกแบบมาเพื่อรองรับน้ำหนักและความสบายในการขับขี่บนทางเรียบได้ดี แต่ผู้ซื้อควรใส่ใจเป็นพิเศษกับชิ้นส่วนที่เกี่ยวข้องกับบูชและยางต่าง ๆ เช่น ตัวยึดสตรัท และบูชกันสะเทือนหลัง ทั้งสองส่วนนี้มักมีอายุการใช้งานที่ไม่ยาวนัก บางคันอาจเริ่มเสื่อมสภาพหรือต้องเปลี่ยนหลังจากวิ่งประมาณ 60,000 กม. เท่านั้น ส่วนเหล็กกันโคลงหน้าถือว่ามีอายุการใช้งานใกล้เคียงกัน ซึ่งมักจะต้องเปลี่ยนที่ระยะประมาณ 60,000 – 70,000 กม.
ด้านโช้คอัพถือว่ามีความทนทานดีพอสมควร โดยโช้คอัพหลังสามารถใช้งานได้ถึง 100,000 กม. ส่วนโช้คอัพหน้าใช้งานได้ราว 120,000 กม. ลูกปืนล้อก็เป็นอีกหนึ่งชิ้นส่วนที่ควรเปลี่ยนเมื่อรถวิ่งถึงระยะ 80,000 – 120,000 กม. และควรตรวจสอบไปพร้อมกับลูกหมากพวงมาลัยที่ทำหน้าที่ช่วยให้การเลี้ยวและการควบคุมรถราบรื่น
ระบบพวงมาลัย

ระบบพวงมาลัย Chevrolet Captiva เจเนอเรชันที่ 1 โดยเฉพาะรุ่นก่อนปรับโฉม มีข้อควรพิจารณาเป็นพิเศษหลังจากรถวิ่งถึงระยะ 100,000 กม. ส่วนที่เริ่มมีปัญหา ได้แก่ คันชักพวงมาลัย ปลายคันชัก และเพลาพวงมาลัย ที่อาจเสื่อมสภาพ ทำให้เกิดเสียงรบกวนเวลาหักเลี้ยวและพวงมาลัยมีอาการหลวม ๆ เบา ๆ ไม่นิ่งเหมือนตอนรถยังใหม่ ๆ
อีกหนึ่งจุดที่ต้องดูคือแร็คพวงมาลัยซึ่งในรุ่นก่อนปรับโฉมจะมีความเปราะบางกว่ารุ่นหลังปรับโฉม ปัญหาที่พบได้บ่อยคือการรั่วซึมของน้ำมันพวงมาลัยเพาเวอร์หรือการเสื่อมสภาพของซีลต่าง ๆ ทำให้ระบบพวงมาลัยมีเสียงดังหรือควบคุมยากขึ้น ดังนั้น ถ้าคุณมองหา Captiva มือสอง ควรเลือกรุ่นหลังปี 2011 ขึ้นมาเพราะมีการเสริมความทนทานให้กับระบบกันสะเทือนและพวงมาลัยมาแล้ว
เคล็ดลับการเลือกแคปติว่ามือสอง รุ่น1
หากคุณกำลังมองหา Chevrolet Captiva เจเนอเรชันที่ 1 มือสอง นี่คือคำแนะนำที่จะช่วยให้คุณได้แคปติว่ามือสองดีคุ้มค่าและใช้งานได้ยาวนาน
- เลือกปีผลิตให้ดี - รุ่นปรับโฉมไมเนอร์เชนจ์ตั้งแต่ปี 2011 ขึ้นไปมีการปรับปรุงทั้งดีไซน์และความทนทานของชิ้นส่วนหลายอย่าง โดยเฉพาะระบบไฟฟ้า ช่วงล่าง และพวงมาลัย ดังนั้น ถ้ามีงบประมาณพอ ควรเลือก Captiva ที่ผลิตหลังปี 2011 จะได้ความคุ้มค่ามากกว่า
- ตรวจสอบประวัติการบำรุงรักษา - อย่าลืมขอดูสมุดคู่มือและประวัติการเข้ารับบริการที่ศูนย์หรืออู่ การบำรุงรักษาที่ต่อเนื่องสม่ำเสมอจะช่วยยืดอายุการใช้งานและบอกได้ว่ารถคันนั้นได้รับการดูแลมาดีแค่ไหน
- ตรวจสอบตัวถังและสีรถอย่างละเอียด - ตรวจดูบริเวณที่สีมักจะซีดจางหรือโครเมียมหมอง เช่น ฝากระโปรงหน้า ฝากระโปรงท้าย และขอบเหนือกระจกบังลม รวมถึงตรวจสอบสนิมหรือรอยซ่อมแผลเก่าที่อาจบ่งบอกถึงอุบัติเหตุที่ผ่านมา
- ตรวจสอบระบบไฟฟ้าและอุปกรณ์เสริม – Captiva รุ่นเก่อนปี 2011 มักมีปัญหาไฟฟ้าจุกจิก เช่น ระบบปรับอากาศ หน้าจอแสดงผล หรือระบบสตาร์ทรถ ควรตรวจสอบระบบไฟฟ้าทุกจุด ไม่ว่าจะเป็นไฟหน้า ไฟเบรก ปัดน้ำฝน กระจกไฟฟ้า รวมถึงตรวจสอบไฟเตือนบนหน้าปัดว่าทำงานปกติหรือไม่
- เลือกเครื่องยนต์ให้เหมาะกับการใช้งาน - เครื่องยนต์เบนซิน 2.4 ลิตร แม้จะกินน้ำมันมากกว่าดีเซล แต่ก็ง่ายต่อการดูแลและซ่อมบำรุง ส่วนใหญ่มีอายุการใช้งานที่ยาวและไม่ค่อยมีปัญหาใหญ่ ส่วนเครื่องยนต์ดีเซล 2.0 ลิตร ประหยัดน้ำมันกว่า แต่ต้องดูแลเรื่องกรองอนุภาคไอเสีย (DPF) ระบบ EGR และการอุดตันของท่อไอดี ควรตรวจสอบรอยรั่วของน้ำมันและทดสอบระบบการทำงานของเครื่องอย่างละเอียด
- ตรวจสอบระบบส่งกำลัง – ถ้าเป็นไปได้ควรทดลองขับรถจริง ๆ เพื่อดูเรื่องฟีลลิ่งการขับขี่และการเปลี่ยนเกียร์ เกียร์ควรทำงานนุ่มนวลและราบรื่น ไม่มีอาการกระตุกหรือมีเสียงผิดปกติ
- ตรวจสอบช่วงล่างและพวงมาลัย – ลองขับรถบนถนนที่มีอุปสรรค หลุมบ่อ คลื่น หรือทางขรุขระ เพื่อฟังเสียงจากระบบกันสะเทือน ตรวจสอบความแน่นของโช้ครวมถึงความแน่นของบูชยางและลูกหมากต่าง ๆ ช่วงล่างที่ดีไม่ควรมีเสียงดังหรืออาการกระแทกแรง ๆ ส่วนพวงมาลัยควรตรวจสอบความแน่น ความแม่นยำ และตรวจดูน้ำมันพวงมาลัยเพาเวอร์ว่ามีการรั่วซึมหรือไม่

บทสรุป captiva มือสอง รุ่นที่ 1 น่าใช้หรือไม่
Chevrolet Captiva เจเนอเรชันที่ 1 ถือเป็นหนึ่งในรถ Crossover SUV ที่มักถูกประเมินค่าต่ำกว่าความเป็นจริงในตลาดรถมือสอง เมื่อพิจารณาอย่างลึกซึ้งแล้วจะเห็นว่ามีเหตุผลอยู่ไม่น้อยที่รถรุ่นนี้คุ้มค่าและน่าใช้ Captiva เจเนอเรชันที่ 1 เป็นรถต้องการความใส่ใจในการบำรุงรักษาและตรวจสอบชิ้นส่วนต่าง ๆ อย่างสม่ำเสมอ โดยเฉพาะระบบไฟฟ้า ช่วงล่าง และระบบขับเคลื่อน แต่ในภาพรวมแล้ว ปัญหาที่พบไม่ได้ร้ายแรงหรือซับซ้อนจนเกินไป
ถ้าคุณเลือกซื้อ Captiva เจเนอเรชันที่ 1 มือสองอย่างรอบคอบ ดูแลบำรุงรักษาได้ดี รถคันนี้สามารถใช้งานได้อีกนานหลายปี สามารถมอบความสบายในการขับขี่ มีห้องโดยสารที่กว้างขวางเหมาะสำหรับครอบครัว อีกทั้งยังมีสมรรถนะที่ดีพอสมควรในการขับขี่ทั้งในเมือง นอกเมือง และลุยเส้นทางขรุขระที่ไม่โหดเกินไป
จุดที่อยากแนะนำคือเลือกรุ่นปรับโฉมไมเนอร์เชนจ์ปี 2011 ขึ้นไป เพราะได้รับการปรับปรุงหลายด้านทั้งความทนทานของระบบไฟฟ้า คุณภาพของวัสดุในห้องโดยสาร และระบบช่วงล่างที่ได้รับการพัฒนา ทำให้รุ่นปีหลัง ๆ นี้น่าใช้งานมากกว่า
อย่าลืมว่า Chevrolet Captiva เป็นรถ Crossover SUV ขนาดกลางที่ครบเครื่องและมีข้อดีหลายด้าน เช่น
- ระยะความสูงจากพื้น (Ground Clearance) ที่เหมาะสมสำหรับการขับขี่ทั้งในเมืองและทางขรุขระ
- ห้องโดยสารกว้างขวาง รองรับผู้โดยสารได้ 5 - 7 ที่นั่ง (แล้วแต่รุ่นย่อย)
- ความสามารถของระบบขับเคลื่อนสี่ล้อที่ให้ความมั่นใจเมื่อต้องเผชิญเส้นทางที่หลากหลาย
- ราคามือสองที่ถูกกว่ารถแบรนด์คู่แข่งหลายรุ่นในเซกเมนต์เดียวกัน
ดังนั้นหากคุณเลือก Captiva เจเนอเรชันที่ 1 อย่างถูกต้อง ตรวจสอบสภาพรถโดยละเอียด และให้ความสำคัญกับการบำรุงรักษาตามระยะ รถคันนี้สามารถกลายเป็นเพื่อนร่วมทางที่ไว้ใจได้และพร้อมลุยไปกับคุณไปได้อีกหลายปีแน่นอน นี่คือ Crossover SUV ขนาดกลางที่อาจจะไม่ได้สมบูรณ์แบบ 100% แต่ถ้ารู้จักรถดีพอมันจะไม่ทำให้ผิดหวัง
ค้นหา Chevrolet captiva มือสอง ที่ใช่สำหรับคุณ
เรารวบรวมประกาศขายเชฟโรเลต แคปติวาจาก Facebook Marketplace, Kaidee, One2Car และ TaladRod มาไว้ในที่เดียว
เลือกดูรถ captiva มือสอง เช็คประเภทผู้ขาย แล้วเลือกคันที่ตรงใจคุณได้ง่ายๆ
พบกับChevrolet Captiva มากมายที่นี่ → แคปติว่ามือสอง
- กรุงเทพมหานคร, 500 km
- ยี่ห้อ: Chevrolet
- รุ่น: Captiva
- แหล่งที่มา: Facebook, Kaidee, One2Car, TaladRod