Mercedes-Benz E-Class W211: มือสองน่าซื้อสำหรับคนอยากเริ่มขับเบนซ์

w211 รถเบนซ์มือสองยอดนิยมในไทย

Mercedes-Benz E-Class ถือเป็นสัญลักษณ์ของความหรูหรา ความสะดวกสบาย และเทคโนโลยีล้ำสมัยในกลุ่มรถซีดานหรูขนาดกลางมาโดยตลอด สำหรับแฟน ๆ ในไทยที่คุ้นเคยกับรถรุ่นนี้คงไม่มีใครไม่รู้จัก w211 ซึ่งเป็นหนึ่งในเจเนอเรชันที่ได้รับความนิยมและยังคงถูกพูดถึงแม้จะสิ้นสุดสายการผลิตมาหลายปีแล้วก็ตาม

E-class W211 เริ่มทำตลาดตั้งแต่ปี 2002 จนถึงปี 2009 โดยมาแทนที่ E-class W210 อันโด่งดัง แม้ว่า E-class W211 จะยังคงเอกลักษณ์ไฟหน้า 4 ดวงเช่นเดียวกับรุ่นก่อนหน้าแต่ด้วยเส้นสายการออกแบบที่โค้งมนและสง่างามมากขึ้นทำให้ E-class W211 ดูลงตัว หรูหรา และทันสมัยมากขึ้น

ในตลาดประเทศไทย W211 มีจำหน่ายทั้งรุ่นเบนซินและดีเซล โดยรุ่นยอดนิยมคือ E 200 Kompressor ซึ่งตอบโจทย์ทั้งความประหยัดและสมรรถนะ นอกจากนี้ยังมีรุ่นดีเซลที่ได้รับความนิยมสูงอย่าง E 220 CDI ซึ่งให้สมรรถนะดีและความประหยัดน้ำมัน เหมาะกับการใช้งานในชีวิตประจำวัน

เบนซ์ E-class W211 เริ่มทำตลาดตั้งแต่ปี 2002 จนถึงปี 2009

ในปี 2006 Mercedes-Benz ได้ปรับโฉม E-class W211 ด้วยการอัปเดตดีไซน์ด้านหน้า-หลัง เพิ่มไฟท้ายแบบใหม่ ปรับปรุงระบบกันสะเทือน และแก้ไขปัญหาในช่วงแรกของการผลิต ซึ่งทำให้ E-class W211 รุ่นปีหลัง ๆ ได้รับความนิยมมากขึ้นเพราะปัญหาต่าง ๆ ถูกแก้ไขไปแล้ว ทำให้เป็นที่ต้องการของผู้ซื้อรถมือสองในไทยอย่างมาก

พูดถึงตลาดรถมือสอง E-class W211 ถือเป็นหนึ่งใน E-Class ที่ยังคงได้รับความนิยมอย่างต่อเนื่องในประเทศไทย เนื่องจากความมีคุ้มค่าและราคาไม่แพง คุณสามารถเป็นเจ้าของรถหรูที่มาพร้อมเทคโนโลยีทันสมัย คุณภาพประกอบเยี่ยม แข็งแรงทนทาน และมีสมรรถนะที่ดี รุ่นปรับโฉมหลังปี 2006 มักถูกมองว่าเป็นตัวเลือกคุ้มค่าเพราะมีความประหยัดน้ำมันและค่าใช้จ่ายในการบำรุงรักษาที่ไม่สูงเกินไปเมื่อเทียบกับความหรูหราและสมรรถนะที่ได้รับ

สำหรับคนที่กำลังมองหารถหรูมือสองที่ตอบโจทย์ทั้งภาพลักษณ์และการใช้งานในชีวิตจริง บทความนี้จะมาเจาะลึก Mercedes-Benz E-class W211 สำรวจจุดเด่น ข้อดี-ข้อด้อย ปัญหาที่พบ รวมถึงคำแนะนำในการเลือกซื้อและการบำรุงรักษา เพื่อเป็นข้อมูลประกอบการตัดสินใจก่อนเลือกซื้อรถรุ่นนี้


ตัวเลือกเครื่องยนต์ของเบนซ์ E-class W211 ในไทย

เครื่องยนต์ของรถเบนซ์ W211มีทั้งเบนซินและดีเซล

Mercedes-Benz E-class W211 ที่ขายในเมืองไทยจะมีทั้งเครื่องยนต์เบนซินและดีเซล ดังนี้

เครื่องยนต์เบนซิน

  • E 200 Kompressor เครื่องเบนซิน 4 สูบ 1.8 ลิตร 163 แรงม้า หลังปรับโฉมปี 2006 อัปเกรดเป็น 184 แรงม้า
  • E 240 เครื่องเบนซิน V6 ไม่มีเทอร์โบ ความจุ 2.4 ลิตร 177 แรงม้า
  • E 230 เครื่องเบนซิน V6 ไม่มีเทอร์โบ ความจุ 2.5 ลิตร 204 แรงม้า ออกขายในปี 2009 ซึ่งเป็นช่วงท้าย ๆ ของอายุโมเดล และมาแทนรุ่น E 240 เดิม
  • E 280 เครื่องเบนซิน V6 มีเทอร์โบ ความจุ 3.0 ลิตร 231 แรงม้า ออกขายในปี 2006 พร้อมการปรับโฉม Facelift

เครื่องยนต์ดีเซล

  • E 220 CDI เครื่องดีเซล 4 สูบ ความจุ 2.1 ลิตร 150 แรงม้า หลังปรับโฉมปี 2006 อัปเกรดเป็น 170 แรงม้า
  • E 270 CDI เครื่องดีเซล 5 สูบ ความจุ 2.7 ลิตร 177 แรงม้า

คุณภาพของเครื่องเบนซิน

เครื่องยนต์เบนซินของเบนซ์ E-class W211 ได้รับการยอมรับเรื่องความทนทานและเชื่อถือได้ โดยเฉพาะเครื่องเบนซิน 4 สูบ 1.8 ลิตร Kompressor ที่ใช้ซูเปอร์ชาร์จเป็นตัวอัดอากาศเข้าห้องเผาไหม้ ผู้ใช้หลายคนพูดว่ารุ่นนี้มีความเสถียร ทนทาน และใช้งานได้ยาวนานหากดูแลรักษาอย่างดี

สำหรับเครืองยนต์เบนซิน V6 จะไม่มีระบบอัดอากาศที่ซับซ้อนทำให้มันเป็นเครื่องยนต์ที่ทนทานและซ่อมง่าย จุดอ่อนหลักที่มักพบคือ Catalytic Converter มักจะเสื่อมสภาพไวและการรั่วซึมของน้ำมันเครื่องบริเวณปะเก็นฝาสูบหรือฝาครอบวาล์ว สามารถแก้ไขได้ด้วยการทำความสะอาดหรือเปลี่ยนชิ้นส่วนที่เสื่อมสภาพ หากต้องการให้เครื่องยนต์ทำงานได้ดีและยืดอายุไปอีกหลายหมื่นกิโลเมตรแนะนำให้เปลี่ยนหัวเทียนตามกำหนด ซึ่งหัวเทียนมีจำนวน 2 หัวต่อกระบอกสูบ

หลังปี 2006 E-class W211 รุ่น E 230 ได้เปลี่ยนไปใช้เครื่องยนต์รุ่นใหม่ซีรีส์ M272 หนึ่งในคุณลักษณะสำคัญคือการใช้สารเคลือบกระบอกสูบ Alusil แทนปลอกเหล็กหล่อแบบเดิม เทคโนโลยีนี้ถือว่าก้าวหน้าแต่ต้องการการบำรุงรักษาที่ละเอียดอ่อนมากขึ้นในการเลือกสเปกน้ำมันเครื่องและระยะการบำรุงรักษา

นอกจากนี้ เครื่องยนต์ยังออกแบบให้เพลาสมดุลและชุดสายพานเครื่องยนต์อยู่หลังเสื้อสูบ การบำรุงรักษาหรือการเปลี่ยนอะไหล่จึงต้องใช้ความเชี่ยวชาญในการรื้อและประกอบกับเข้าไป ขณะที่ท่อร่วมไอดีใช้แผ่นพลาสติกซึ่งมีโอกาสแตกหักหรือกรอบได้เมื่อใช้งานไปถึงหลักแสนกิโลเมตร

คุณภาพของเครื่องดีเซล

เครื่องยนต์ดีเซลของ Mercedes-Benz E-class W211 ขึ้นชื่อเรื่องความเรียบง่าย ทนทาน ไม่จุกจิก บำรุงรักษาง่าย ทำให้เป็นตัวเลือกที่ได้รับความนิยมมากในเมืองไทย เครื่องยนต์สามารถทนต่อสภาพอากาศร้อนชื้นของเมืองไทยได้เป็นอย่างดี สิ่งที่ต้องดูแลคือการเปลี่ยนน้ำเครื่องและไส้กรองตามระยะ รวมถึงการถอดชิ้นส่วนภายในมาล้างคราบเขม่าสกปรกตามระยะที่เหมาะสม หากดูแลอย่างดี เครื่องยนต์ดีเซลของ E-class W211 จะใช้งานได้ยาว ๆ นับแสนกิโลเมตรโดยไม่มีปัญหาใหญ่

ระบบส่งกำลัง

เกียร์อัตโนมัติ 5 สปีด ของ W211 ทนทานไม่จุกจิก

Mercedes-Benz E-class W211 ทั้งรุ่นเครื่องเบนซินและดีเซลในไทยส่วนใหญ่จะใช้เกียร์อัตโนมัติ 5 สปีด ซึ่งถือว่าเป็นเกียร์ที่ขึ้นชื่อเรื่องความทนทาน ใช้งานง่าย และบำรุงรักษาง่าย แม้โรงงานจะระบุว่าเป็นเกียร์ที่ไม่ต้องเปลี่ยนถ่ายน้ำมันตลอดอายุการใช้งาน แต่ในการใช้งานจริงแนะนำว่าควรเปลี่ยนถ่ายน้ำมันเกียร์ทุก 60,000 กม. เพื่อยืดอายุการใช้งานของชิ้นส่วนภายในและรักษาความนุ่มนวลในการเปลี่ยนเกียร์ ซึ่งไม่เพียงแต่ช่วยป้องกันการสึกหรอแต่ยังลดความเสี่ยงของปัญหาใหญ่ที่อาจตามมาในอนาคต

ในรุ่นปรับโฉมปี 2006 E-class W211 รุ่น E 280 ได้เปลี่ยนไปใช้เกียร์อัตโนมัติ 7G-TRONIC ซึ่งเป็นเกียร์ 7 สปีดที่ไส้ในมีความซับซ้อนและต้องการการบำรุงรักษาที่พิถีพิถันมากกว่าเกียร์ออโต้ 5 สปีด ข้อดีคือการส่งกำลังที่นุ่มนวล ลดรอบเครื่องยนต์ในความเร็วสูง ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการประหยัดน้ำมัน และยังมาพร้อมกับเทคโนโลยีทอร์คคอนเวอร์เตอร์ที่มีคลัทช์ล็อกอัปแบบควบคุมได้ ทำหน้าที่เป็นคลัตช์เต็มรูปแบบเพื่อเพิ่มความประหยัดและลดความร้อนสะสมในระบบ

การดูแลรักษาเกียร์ 7G-TRONIC แนะนำให้เปลี่ยนถ่ายน้ำมันเกียร์ทุก 60,000 กม. เช่นเดียวกับเกียร์ออโต้ 5 สปีดเพื่อป้องกันความเสียหายจากน้ำมันเกียร์เสื่อมสภาพหรือสิ่งสกปรกที่สะสมภายในระบบ ซึ่งอาจทำให้การเปลี่ยนเกียร์ไม่ราบรื่นหรือเกิดปัญหาใหญ่ในระบบเกียร์ได้

ระบบกันสะเทือน

W211 ระบบกันสะเทือนโดดเด่นกว่าคู่แข่งในยุคเดียวกัน

หนึ่งในองค์ประกอบที่ทำให้ Mercedes-Benz E-Class W211 โดดเด่นเหนือคู่แข่งในยุคเดียวกันคือระบบกันสะเทือนที่ออกแบบมาอย่างพิถีพิถันตามมาตรฐานเยอรมันแท้ ๆ ระบบกันสะเทือนของรุ่นนี้ให้ความสมดุลที่ยอดเยี่ยมระหว่างความนุ่มนวลในการขับขี่และความแม่นยำในการควบคุม ไม่ว่าจะเป็นการขับขี่ในเมืองหรือการเดินทางไกลบนทางด่วน E-Class W211 ก็สามารถมอบความสบายและความมั่นใจให้กับผู้ขับได้อย่างแท้จริง

ใน E-Class W211 ที่ขายในประเทศไทย ส่วนใหญ่จะมาพร้อมกับระบบกันสะเทือนแบบโช้คอัพและคอยล์สปริงปกติซึ่งมีความทนทานสูงและดูแลง่าย จุดเด่นของระบบนี้คือค่าใช้จ่ายในการบำรุงรักษาที่ไม่สูงเกินไป และสามารถรองรับการใช้งานบนสภาพถนนของไทยได้ดี จุดที่ควรตรวจสอบหากซื้อรถมือสองคือความสมบูรณ์ของบูชยาง ปีกนก และโช้คอัพ เพราะแม้ระบบนี้จะไม่ซับซ้อน แต่เมื่อผ่านการใช้งานมาหลายปี ส่วนประกอบยางเหล่านี้อาจเสื่อมสภาพได้ตามอายุการใช้งาน

แต่ถ้าใครอยากสัมผัสความหรูหราที่แท้จริงของ E-Class W211 ก็สามารถเลือกคันที่ติดตั้งระบบกันสะเทือนแบบถุงลม Airmatic ซึ่งถือเป็นหนึ่งในเทคโนโลยีขั้นสูงของ Mercedes-Benz ในยุคนั้น ระบบ Airmatic สามารถปรับระดับความสูงของตัวรถอัตโนมัติตามความเร็วและสภาพถนน รวมถึงปรับความแข็งของโช้คอัพให้เหมาะสมกับสไตล์การขับขี่ ตั้งแต่ความนุ่มนวลเหมือนลอยไปบนถนน จนถึงการตอบสนองที่เฉียบคมเมื่อต้องการความสนุกในการขับ

อย่างไรก็ตาม ระบบ Airmatic ก็ขึ้นชื่อเรื่องความซับซ้อนและค่าใช้จ่ายในการซ่อมบำรุงที่สูงกว่าระบบกันสะเทือนแบบสปริงเหล็ก จุดสำคัญที่ควรตรวจสอบเมื่อเลือกซื้อ W211 ที่มาพร้อมช่วงล่าง Airmatic ได้แก่

  • ถุงลม (Air Spring) ต้องไม่รั่วหรือเสื่อมสภาพ เพราะการเปลี่ยนใหม่มีค่าใช้จ่ายค่อนข้างสูง
  • คอมเพรสเซอร์ ต้องทำงานปกติ สามารถเติมลมเข้าสู่ระบบได้อย่างรวดเร็วและต่อเนื่อง
  • ซีลและท่อส่งลม ต้องไม่มีการรั่วซึม ซึ่งอาจทำให้รถแสดงอาการเอียงหรือขึ้น-ลงไม่เท่ากัน
  • เซนเซอร์ความสูง ต้องทำงานถูกต้อง เพราะมีผลต่อความสมดุลและเสถียรภาพของรถ

ในตลาดรถมือสองของไทย E-Class W211 ที่มาพร้อมระบบ Airmatic ยังถือว่าเป็นที่ต้องการในกลุ่มผู้ชื่นชอบความหรูหราและสมรรถนะการขับขี่ที่เหนือระดับ แต่ผู้ซื้อจำเป็นต้องตรวจสอบระบบนี้อย่างละเอียดก่อนตัดสินใจ เพราะหากเกิดความเสียหาย ค่าใช้จ่ายในการซ่อมแซมอาจสูงถึงหลักหมื่นบาทขึ้นไป ในขณะที่รุ่นที่ใช้ระบบสปริงเหล็กอาจเหมาะกับผู้ที่เน้นความคุ้มค่าในระยะยาวและต้องการความง่ายในการดูแลรักษา

ระบบเบรก

เบรกของเบนซ์ใช้ระบบเบรกไฮดรอลิกไฟฟ้า

ระบบเบรกของ Mercedes-Benz E-Class W211 เป็นอีกหนึ่งหัวใจสำคัญที่ผู้ใช้รถควรให้ความใส่ใจเป็นพิเศษ โดยเฉพาะในรุ่นก่อนปรับโฉม (pre-facelift) ซึ่งมาพร้อมกับเทคโนโลยีล้ำสมัยในยุคนั้นอย่าง SBC (Sensotronic Brake Control) เป็นระบบเบรกไฮดรอลิกไฟฟ้าที่ Mercedes-Benz พัฒนาขึ้นเพื่อยกระดับความปลอดภัยและประสิทธิภาพในการเบรก

SBC ใช้มอเตอร์ไฟฟ้าในการสร้างแรงดันน้ำมันเบรกแทนที่หม้อลมเบรกแบบทั่วไป ทำให้การตอบสนองของเบรกรวดเร็วและแม่นยำกว่าระบบเบรกทั่วไป อีกทั้งยังมีฟังก์ชันเสริมความปลอดภัย เช่น ระบบกระจายแรงเบรกที่เหมาะสมต่อแต่ละล้อ และระบบเสริมเพิ่มแรงเบรกฉุกเฉินโดยอัตโนมัติเมื่อรถตรวจเจอสถานการณ์เสี่ยง อย่างไรก็ตาม เทคโนโลยีนี้ก็มีความซับซ้อนสูงและต้องการการดูแลรักษาที่ละเอียดขึ้น

เมื่อเข้าสู่ปี 2006 มีการเปลี่ยนกลับมาใช้ระบบเบรกไฮดรอลิกแบบดั้งเดิมที่ใช้หม้อลมสุญญากาศร่วมกับระบบป้องกันล้อล็อก (ABS) และระบบเสริมแรงเบรก (BA) แม้ว่าจะเป็นระบบที่ง่ายและดูแลรักษาง่ายกว่า SBC แต่ก็ยังคงรักษามาตรฐานความปลอดภัยไว้ได้ครบถ้วน รุ่นหลังปรับโฉมนี้จึงได้รับความนิยมมากขึ้นในตลาดรถมือสอง เพราะผู้ใช้รู้สึกมั่นใจในความเสถียรของระบบและค่าใช้จ่ายในการบำรุงรักษาที่ต่ำกว่า

สิ่งสำคัญที่ต้องตรวจสอบเกี่ยวกับระบบเบรกคือระบบไฟฟ้าทั้งหมดของรถ เพราะระบบเบรกทั้งในรุ่นที่ใช้ SBC และรุ่นหลังปรับโฉมต้องพึ่งพาการทำงานของระบบไฟฟ้าอย่างมาก สภาพของแบตเตอรี่ ไดชาร์จ และจุดต่อสายไฟต่าง ๆ บนตัวถังต้องอยู่ในสภาพดีเยี่ยม เพราะปัญหาในระบบไฟฟ้าอาจส่งผลต่อประสิทธิภาพของเบรกโดยตรงโดยเฉพาะกับรุ่นที่ใช้ SBC ซึ่งความสมบูรณ์ของไฟฟ้ามีผลต่อแรงดันน้ำมันเบรกอย่างชัดเจน

นอกจากนี้ควรตรวจสอบผ้าเบรกและจานเบรกอย่างละเอียด เพราะแม้ว่า E-Class W211 จะมีระบบเตือนผ้าเบรกหมดแต่รถที่ผ่านการใช้งานมาหลายปีอาจมีการสึกหรอของจานเบรกหรือการเลือกใช้ผ้าเบรกที่ไม่ตรงสเปกซึ่งอาจทำให้สมรรถนะการเบรกลดลง

ตัวถังและภายนอก

W211 E class มือสองสียังดูใหม่แม้เป็นรถเก่า

Mercedes-Benz E-Class W211 มีคุณภาพงานตัวถังที่ยอดเยี่ยม ใช้โลหะคุณภาพสูงและได้รับการเคลือบป้องกันสนิมอย่างดี ช่วยให้รถทนต่อการกัดกร่อนได้เป็นอย่างดี แม้ว่ารถจะอายุเกินสิบปีแต่ถ้าได้รับการดูแลรักษาดีพื้นผิวสีและโครงสร้างตัวถังก็ยังดูใหม่ อย่างไรก็ตาม ต้องระวังว่าความเสียหายที่เกิดขึ้นกับสีรถ เช่น รอยขีดข่วนหรือการกะเทาะของสี ซึ่งอาจกลายเป็นจุดเริ่มต้นของสนิมและการผุกร่อนได้ถ้าไม่ได้รับการแก้ไขอย่างทันท่วงที

ในช่วงต้นทศวรรษ 2000 Mercedes-Benz เริ่มนำวัสดุใหม่เข้ามาใช้เพื่อลดน้ำหนักและปรับปรุงสมรรถนะ โดยใน E-Class W211 มีการใช้ อะลูมิเนียมในหลายส่วนของตัวถัง เช่น บังโคลนหน้า ฝากระโปรงหน้า และฝากระโปรงท้าย การเลือกใช้วัสดุน้ำหนักเบานี้ไม่เพียงช่วยลดน้ำหนักของตัวรถเพื่อปรับปรุงประสิทธิภาพการขับขี่และการประหยัดเชื้อเพลิง แต่ยังช่วยเพิ่มความสมดุลและพลศาสตร์ของรถ อย่างไรก็ตาม อะลูมิเนียมก็มีข้อจำกัดเรื่องความยืดหยุ่นและการซ่อมแซมที่อาจยุ่งยากกว่าเหล็กปกติ หากเกิดความเสียหาย บุบ หรือการผุกร่อน ควรให้ผู้เชี่ยวชาญตรวจสอบและซ่อมแซมอย่างถูกวิธี

อีกหนึ่งรายละเอียดทางวิศวกรรมที่น่าสนใจของ E-Class W211 คือบานเปิด-ปิดอัตโนมัติที่ติดตั้งอยู่บริเวณด้านล่างของกันชนหน้า บานนี้ทำงานด้วยกลไกไฟฟ้า ทำหน้าที่เปิด-ปิดเพื่อควบคุมการเปิดรับอากาศเพื่อมาช่วยระบายความร้อนของเครื่องยนต์ บานจะเปิดก็ต่อเมื่อขณะขับขี่ด้วยความเร็วสูงหรือสภาพอากาศร้อนจัดเพื่อให้อากาศเย็นไหลมากระทบเครื่องยนต์เพื่อช่วยการระบายความร้อน และจะปิดเมื่อไม่จำเป็นเพื่อลดแรงต้านอากาศและเพิ่มประสิทธิภาพการขับขี่ จุดนี้ถือเป็นเทคโนโลยีที่ล้ำหน้าในสมัยนั้น แต่ก็มีความซับซ้อนและจำเป็นต้องตรวจสอบการทำงานอย่างสม่ำเสมอ เพราะถ้าระบบทำงานผิดพลาด อาจทำให้เกิดความร้อนสะสมในห้องเครื่องและกระทบต่อสมรรถนะของรถได้

ภายในห้องโดยสาร

ห้องโดยสารรถเบนซ์ W211 ดูโปร่งและตกแต่งพรีเมียมด้วยหนังแท้

หากพูดถึงความหรูหราของ Mercedes-Benz E-Class W211 ต้องยอมรับว่ามันถูกออกแบบมาเพื่อตอบสนองทั้งความสะดวกสบายและรสนิยมที่เหนือระดับอย่างแท้จริง E-Class W211 ได้ยกระดับการออกแบบภายในไปอีกขั้นด้วยเส้นสายที่ดูโค้งมน อ่อนโยน และทันสมัยมากขึ้น ส่งผลให้ห้องโดยสารดูโปร่งและเป็นมิตรต่อผู้โดยสารทุกคน

วัสดุที่ใช้ในห้องโดยสารของ E-Class W211 ประกอบด้วยเบาะหนังแท้เนื้อนุ่ม หนังคุณภาพสูงที่ผ่านการตัดเย็บอย่างประณีต การตกแต่งด้วยวัสดุลายไม้และอลูมิเนียมขัดเงาที่ผสมผสานกันอย่างลงตัวและให้ความรู้สึกหรูหราอย่างแท้จริง เบาะนั่งคู่หน้าปรับไฟฟ้าได้หลายทิศทางพร้อมตัวปรับดันหลังแบบไฟฟ้า ให้ความสบายสูงสุดในการเดินทางไกล นอกจากนี้ยังมีระบบบันทึกตำแหน่งเบาะสำหรับผู้ขับขี่หลายคนอีกด้วย

ด้านหน้ามาพร้อมคอนโซลกลางที่จัดวางอย่างลงตัว มีระบบเครื่องเสียงหน้าจอสัมผัสที่แสดงผลระบบมัลติมีเดียและสถานะการทำงานของระบบต่าง ๆ ของตัวรถอย่างครบครัน มีระบบปรับอากาศอัตโนมัติแบบแยก 2 โซน สำหรับผู้โดยสารตอนหลังจะมีพื้นที่กว้างขวาง นั่งสบาย พื้นที่วางขากว้างและพนักพิงมีมุมเอนที่ดี นอกจากนี้ยังมีช่องแอร์แยกสำหรับผู้โดยสารตอนหลังเพื่อความสะดวกสบายที่มากขึ้น เหมาะทั้งสำหรับการเดินทางในเมืองหรือออกทริปยาว ๆ

พื้นที่เก็บสัมภาระก็ถือว่าตอบโจทย์การใช้งานจริงด้วยความจุ 540 ลิตร ซึ่งเพียงพอสำหรับการใส่กระเป๋าเดินทางหลายใบ หรือสัมภาระสำหรับการเดินทางระยะไกล และถ้าจำเป็นต้องบรรทุกของที่มีขนาดยาว เบาะหลังยังสามารถพับลงได้ ช่วยเพิ่มความยืดหยุ่นในการใช้งานจริง

นอกจากนี้ W211 ที่ขายในไทยหลายรุ่นยังมาพร้อมกับออปชันเพิ่มเติม เช่น หลังคาซันรูฟไฟฟ้า ม่านบังแดดหลังไฟฟ้า ระบบเสียง Harman Kardon (ในรุ่นสูง) และเบาะที่มีระบบอุ่นและระบายอากาศ ซึ่งเป็นความหรูหราที่ตอบโจทย์สภาพอากาศร้อนชื้นแบบไทยได้เป็นอย่างดี

ระบบอิเล็กทรอนิกส์และอุปกรณ์

ระบบอิเล็กทรอนิกส์ที่ติดตั้งมาใน Mercedes-Benz E-Class W211 ถือว่าจัดเต็มเพื่อความสะดวกสบายและความปลอดภัยของผู้ขับขี่และผู้โดยสาร คุณจะพบกับเทคโนโลยีอำนวยความสะดวกที่หลากหลาย ไม่ว่าจะเป็นระบบปรับอากาศแบบหลายโซนที่ควบคุมอุณหภูมิแยกได้ตามใจ ระบบควบคุมความเร็วอัตโนมัติแบบแปรผันที่สามารถปรับความเร็วตามรถคันหน้าได้ ระบบนำทางที่แม้จะไม่ล้ำเหมือนรุ่นใหม่ ๆ แต่ก็ใช้งานได้ดีในยุคนั้น และระบบเสียงคุณภาพสูงที่ในบางรุ่นมาพร้อมกับชุดเครื่องเสียงพรีเมียมจาก Harman Kardon นอกจากนี้ยังมีฟังก์ชันเชื่อมต่อโทรศัพท์ด้วยบลูทูธ (ในรุ่นปรับโฉม) ที่ทำให้การติดต่อสะดวกขึ้นแม้จะอยู่บนท้องถนน

แม้ว่า E-Class W211 จะขึ้นชื่อว่าเป็นรถที่ระบบไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์ค่อนข้างทนทาน แต่ก็ต้องยอมรับว่ารถที่มีอายุหลายปี ระบบเหล่านี้ย่อมเสื่อมสภาพตามเวลา ปัญหาที่พบได้บ้างในรถที่ใช้งานมานานอาจเป็นเรื่องเล็ก ๆ เช่น ปุ่มควบคุมบางปุ่มไม่ทำงาน หน้าจอแสดงผลบนแดชบอร์ดจาง หรือเซนเซอร์บางตัวทำงานผิดพลาด โดยเฉพาะในรุ่นที่มีการใช้งานหนักหรือไม่ได้รับการบำรุงรักษาอย่างต่อเนื่อง

ที่สำคัญคือระบบไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์ใน E-Class W211 มีความซับซ้อน เมื่อเลือกซื้อรถมือสองควรตรวจสอบระบบเหล่านี้อย่างละเอียด เช่น ตรวจสอบการทำงานของระบบปรับอากาศ ระบบนำทาง ระบบเสียง ระบบควบคุมความเร็วอัตโนมัติ ไปจนถึงการตรวจสอบสภาพแบตเตอรี่หลักและแบตเตอรี่สำรอง (ใน E-Class W211 บางรุ่นมีแบตเตอรี่ 2 ลูก) ซึ่งทั้งหมดนี้ล้วนมีผลต่อความสมบูรณ์ของระบบไฟฟ้ารถยนต์

ลักษณะการขับขี่และการควบคุม

Benz E-Class W211 ในไทยใช้ระบบขับเคลื่อนล้อหลัง

Mercedes-Benz E-Class W211 ถูกออกแบบมาเพื่อมอบประสบการณ์การขับขี่ที่หรูหราและมั่นใจในทุกความเร็ว ไม่ว่าจะเป็นการเดินทางในเมืองที่จราจรหนาแน่นหรือการขับทางไกลบนทางด่วน รถรุ่นนี้ให้ความรู้สึกที่มั่นคงและสบายตลอดเวลา การเก็บเสียงภายในห้องโดยสารถือว่าทำได้ดีเยี่ยม ช่วยให้การสนทนาระหว่างผู้โดยสารราบรื่นแม้จะใช้ความเร็วสูง

E-Class W211 ทุกรหัสในไทยใช้ระบบขับเคลื่อนล้อหลังซึ่งถือเป็นเอกลักษณ์ของรถหรูจาก Mercedes-Benz การขับด้วยล้อหลังให้ความรู้สึกที่แน่นและเป็นธรรมชาติ เมื่อเข้าโค้งรถสามารถรักษาทิศทางได้มั่นคงโดยไม่ต้องแก้พวงมาลัยมาก และเมื่อรวมกับระบบควบคุมเสถียรภาพ (ESP) และระบบป้องกันล้อหมุนฟรี (ASR) ก็ทำให้มั่นใจได้ว่าจะยังคงเกาะถนนแม้เจอสภาพถนนลื่นหรือลาดเอียง

อีกหนึ่งจุดเด่นคือระบบกันสะเทือนที่มีตัวเลือกหลากหลาย E-Class W211 มาพร้อมกับทั้งระบบกันสะเทือนแบบสปริงธรรมดาที่ให้ความนุ่มนวลสบายเหมาะกับการใช้งานทั่วไป และระบบกันสะเทือนแบบถุงลม Airmatic (ในรุ่นที่สูงกว่า) ซึ่งสามารถปรับความสูงและความแข็งได้ตามสภาพถนนหรือความเร็วที่ขับ ระบบนี้ทำให้รถสามารถเปลี่ยนบุคลิกจากความนุ่มนวลเหมือนเรือสำราญไปสู่ความสปอร์ตที่เกาะถนนและตอบสนองได้อย่างฉับไวตามความต้องการของผู้ขับ

นอกจากความนุ่มนวลและการควบคุมที่มั่นใจแล้ว พวงมาลัยของ E-Class W211 ยังให้ความรู้สึกเป็นธรรมชาติ ไม่เบาจนเกินไปแต่ก็ไม่หนักจนน่ารำคาญ การตอบสนองของพวงมาลัยและช่วงล่างถูกออกแบบมาเพื่อให้ผู้ขับรู้สึกเชื่อมต่อกับรถในทุกสภาพการขับขี่ ไม่ว่าจะเป็นถนนเรียบหรือขรุขระ

เวอร์ชัน AMG

ในบรรดารถยนต์ทั้งหมดในตระกูล E-Class W211 ของ Mercedes-Benz ไม่มีรุ่นไหนที่ดึงดูดสายตาและเร้าใจไปกว่าเวอร์ชัน AMG ซึ่งเป็นผลงานจากแผนกปรับแต่งสมรรถนะสูงที่มีชื่อเสียงระดับโลกของ Mercedes รุ่นที่โดดเด่นที่สุดคือ E55 AMG และ E63 AMG ซึ่งในไทยมีจำนวนไม่มาก ให้พลังแรงเกินพิกัดและยังเป็นสัญลักษณ์ของความหรูหราและความเร็วที่ผสานกันอย่างลงตัว

E55 AMG ใช้พร้อมเครื่องยนต์ V8 ซูเปอร์ชาร์จ ขนาด 5.4 ลิตร ที่ให้กำลังสูงสุดถึง 476 แรงม้า แรงบิดมหาศาลทำให้รถพุ่งทะยานจาก 0-100 กม./ชม. ได้ในเวลาราว 4.7 วินาที ซึ่งถือว่ารวดเร็วมากสำหรับซีดานหรูในยุคนั้น ส่วน E63 AMG ที่เปิดตัวมาทีหลังยกระดับความแรงขึ้นไปอีกขั้นด้วยเครื่องยนต์ V8 แบบ NA ขนาด 6.2 ลิตร ให้กำลังถึง 514 แรงม้า พร้อมเสียงคำรามที่เป็นเอกลักษณ์ของ AMG ทั้งคู่ไม่ใช่แค่รถซีดานธรรมดา แต่เป็นรถสปอร์ตที่ซ่อนอยู่ภายใต้รูปลักษณ์หรูหราที่มีความสุภาพ

ความพิเศษของรุ่น AMG ไม่ได้หยุดอยู่ที่เครื่องยนต์เท่านั้น รถเหล่านี้ยังได้รับการอัปเกรดอย่างครบวงจรทั้งในด้านระบบกันสะเทือนที่ปรับจูนเป็นพิเศษเพื่อความมั่นคงในการขับขี่ที่ความเร็วสูง ระบบเบรกสมรรถนะสูงที่ตอบสนองได้ฉับไว และรายละเอียดดีไซน์ที่แตกต่างออกไปจากรุ่นมาตรฐานอย่างชัดเจน ไม่ว่าจะเป็นชุดแต่งตัวถัง สเกิร์ตข้าง สปอยเลอร์ และล้ออัลลอยขนาดใหญ่พิเศษที่ไม่เพียงทำให้ดูดุดัน แต่ยังช่วยเสริมสมรรถนะในการยึดเกาะถนน

ภายในห้องโดยสาร AMG ก็ไม่ทำให้ผิดหวัง ด้วยเบาะนั่งทรงสปอร์ตหุ้มหนังคุณภาพสูง พวงมาลัยเฉพาะรุ่น AMG และวัสดุตกแต่งที่เพิ่มความพรีเมียม ไม่ว่าจะเป็นลายคาร์บอนไฟเบอร์หรืออลูมิเนียม ปิดท้ายด้วยตราสัญลักษณ์ AMG ที่แฝงความภาคภูมิใจบนหลายจุดทั่วรถ นี่คือรถที่เกิดมาเพื่อคนชอบความเร็วและรักความสปอร์ตเป็นชีวิตจิตใจ

คำแนะนำการเลือกซื้อ Mercedes-Benz W211 E class มือสอง

  • ปีที่ผลิต: รถรุ่นปรับโฉมที่ผลิตหลังปี 2006 มาพร้อมกับการปรับปรุงหลายด้าน ไม่ว่าจะเป็นดีไซน์ภายนอกที่ทันสมัยยิ่งขึ้น อุปกรณ์มาตรฐานที่เพิ่มขึ้น รวมถึงการแก้ไขปัญหาที่พบในรุ่นก่อนหน้า เช่น ปัญหาอิเล็กทรอนิกส์หรือความทนทานของชิ้นส่วนเล็กๆ น้อยๆ ทำให้รุ่นปรับโฉมมักเป็นตัวเลือกที่ปลอดภัยและคุ้มค่ามากกว่า
  • เครื่องยนต์ที่ควรเลือก: หากต้องการความประหยัดและเรียบง่าย รุ่นเครื่องดีเซล E 220 CDI เป็นตัวเลือกที่เหมาะสม แต่ถ้าต้องการพละกำลังที่มากขึ้น E 240 หรือ E 230 ที่ใช้เครื่องยนต์ V6 เป็นตัวเลือกที่น่าสนใจ แม้จะกินน้ำมันมากขึ้นแต่ก็แลกมาด้วยพละกำลังที่มากขึ้น ขับสนุก ตอบสนองฉับไว
  • ระบบเกียร์: เกียร์อัตโนมัติ 5 สปีด ใน E-Class W211 รุ่นปีแรก ๆ เป็นตัวเลือกที่ทนทานและง่ายต่อการซ่อมบำรุง ส่วนเกียร์ 7 สปีด อาจต้องการความพิถีพิถันในการบำรุงรักษามากกว่า
  • ระบบกันสะเทือน: ระบบกันสะเทือนแบบสปริงธรรมดาเหมาะกับผู้ที่ต้องการความทนทานและดูแลง่าย ค่าใช้จ่ายซ่อมบำรุงต่ำ ส่วนระบบกันสะเทือนถุงลมเหมาะกับคนต้องการความสบายสูงสุด แต่ต้องดูแลรักษาอย่างระมัดระวัง
  • ระดับการตกแต่งและอุปกรณ์: E-Class W211 ในไทยมีหลายเกรดให้เลือก ได้แก่ Elegance เป็นรุ่นที่ตกแต่งเน้นความหรูหรา, Avantgarde การตกแต่งจะมีความสปอร์ตและทันสมัยมากขึ้น, AMG (E55/E63) เป็นเวอร์ชันสมรรถนะสูงเหมาะสำหรับผู้ที่ชื่นชอบความแรงและการขับขี่แบบสปอร์ต
  • ข้อควรตรวจสอบอื่นๆ: ควรตรวจสอบสภาพภายนอกของรถให้ละเอียด ดูสภาพสีและตัวถัง รวมถึงจุดที่เปราะบางต่าง ๆ รอบรถ ทุกจุดควรอยู่ในสภาพสมบูรณ์ และควรทดสอบการทำงานของระบบไฟฟ้าและอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ทั้งหมด เช่น ระบบปรับอากาศ มัลติมีเดีย ระบบไฟส่องสว่าง รวมถึงการตอบสนองของหน้าจอควบคุม ทุกจุดต้องใช้งานได้เป็นปกติ

บทสรุป benz มือสอง W211น่าซื้อหรือไม่?

benz มือสองยังคงน่าใช้เพราะคุณภาพวิศวกรรมตามมาตรฐานยุโรป

Mercedes-Benz E-class W211 คือสัญลักษณ์ของความสง่างาม ความประณีต และคุณภาพทางวิศวกรรมที่ไร้กาลเวลา การออกแบบที่หรูหราสง่างาม ภายในที่ตกแต่งด้วยวัสดุพรีเมียม และการขับขี่ที่นุ่มนวลแต่มั่นคง ทำให้ W211 benz มือสอง ยังคงเป็นรถที่น่าดึงดูดแม้จะผ่านพ้นสายการผลิตมาหลายปีแล้วก็ตาม

สำหรับผู้ที่หลงใหลในความประณีตและคุณภาพสไตล์เยอรมันแท้ ๆ E-class W211 คือตัวเลือกที่คุ้มค่า เพียงแค่ต้องเลือกคันที่ได้รับการดูแลอย่างเหมาะสมและพร้อมรับมือกับค่าใช้จ่ายในการบำรุงรักษาที่อาจตามตา รถคันนี้จะตอบแทนคุณด้วยประสบการณ์การขับขี่ที่ยอดเยี่ยม ควบคู่กับคุณภาพและความสะดวกสบายที่ยังคงน่าประทับใจ


ค้นหา Mercedes-Benz e class มือสอง W211 (2002-2009) ที่ใช่สำหรับคุณ

เรารวบรวมประกาศขายรถเบนซ์มือสองจาก Facebook Marketplace, Kaidee, One2Car และ TaladRod มาไว้ในที่เดียว

เปรียบเทียบรถเบนซ์มือสอง เช็คประเภทผู้ขาย แล้วเลือกคันที่ตรงใจคุณได้ง่ายๆ

Mercedes-Benz E-class W211 มากมายที่นี่ →W211 E class มือสอง

  • กรุงเทพมหานคร, 500 km
  • ยี่ห้อ: Benz
  • รุ่น: E-Class
  • ปี: 2002-2009
  • แหล่งที่มา: Facebook, Kaidee, One2Car, TaladRod







Mercedes-Benz E-Class W211: มือสองน่าซื้อสำหรับคนอยากเริ่มขับเบนซ์