คู่มือเลือกซื้อ BMW X1 เจน 2 (F48) มือสอง –SUV ขับดีจากค่ายใบพัดสีฟ้า

bmw x1 F48 ขับเคลื่อนล้อหน้าเป็นพื้นฐาน

ย้อนกลับไปเมื่อ 10 ปีก่อน ใครจะเชื่อว่า BMW จะหันมาพัฒนารถ Crossover SUV ขับเคลื่อนล้อหน้า ในตอนนั้นแนวคิดนี้แทบจะเป็นสิ่งต้องห้ามสำหรับแฟนพันธุ์แท้ของแบรนด์ใบพัดฟ้าขาวจากแคว้น Bavaria เพราะ BMW เป็นที่รู้จักในฐานะผู้ผลิตรถยนต์ขับเคลื่อนล้อหลังที่เน้นสมรรถนะและการควบคุมที่แม่นยำเป็นหลัก แต่ทุกอย่างก็เปลี่ยนไปในช่วงกลางทศวรรษ 2010 เมื่อ BMW เปิดตัว X1 เจเนอเรชันที่ 2 รหัสตัวถัง F48 ที่มาพร้อมระบบขับเคลื่อนล้อหน้าเป็นพื้นฐาน

bmw x1 F48 เปิดตัวอย่างเป็นทางการในปี 2015 และเริ่มเข้าสู่สายการผลิตในปี 2016 โดยใช้แพลตฟอร์ม UKL (Untere Klasse) ซึ่งถือเป็นหัวใจสำคัญของการเปลี่ยนแปลงครั้งนี้ แพลตฟอร์ม UKL มีจุดเด่นอยู่ที่การวางเครื่องยนต์แบบขวาง ซึ่งต่างจากรูปแบบเดิมของ BMW ที่นิยมใช้การวางเครื่องตามแนวยาว ข้อดีของการวางเครื่องยนต์แบบนี้คือสามารถออกแบบห้องโดยสารให้กว้างขวางขึ้น โดยเฉพาะพื้นที่นั่งด้านหลังและห้องเก็บสัมภาระ ซึ่งตอบโจทย์กลุ่มลูกค้าที่มองหาความอเนกประสงค์และความสะดวกสบายในรถครอบครัว

เมื่อเทียบกับ X1 รุ่นแรก (E84) การเปลี่ยนผ่านสู่ F48 คือการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ทั้งในด้านดีไซน์ภายนอก การออกแบบภายใน ไปจนถึงโครงสร้างพื้นฐานและระบบขับเคลื่อน รุ่นใหม่นี้ไม่ได้มีแค่รูปลักษณ์ที่ดูโฉบเฉี่ยวและทันสมัยขึ้นเท่านั้น แต่ยังมีการปรับปรุงเครื่องยนต์ใหม่ทั้งหมด พร้อมกับเพิ่มอุปกรณ์อำนวยความสะดวกและเทคโนโลยีที่ทันสมัยยิ่งขึ้น และแน่นอนว่า BMW ยังไม่ทิ้งตัวตนเดิมเสียทีเดียวเพราะยังมีรุ่นที่มาพร้อมระบบขับเคลื่อนสี่ล้อ xDrive สำหรับผู้ที่ต้องการสมรรถนะและการยึดเกาะแบบดั้งเดิมของ BMW

แม้ในตอนแรกจะมีเสียงวิจารณ์มากมาย แต่เวลาพิสูจน์แล้วว่า BMW X1 F48 คือการตัดสินใจที่ถูกต้อง มันช่วยขยายฐานลูกค้าใหม่ ๆ ที่มองหารถอเนกประสงค์ขนาดกะทัดรัดที่ตอบโจทย์ชีวิตประจำวันทั้งในเมืองและการเดินทางไกล โดยไม่ละทิ้งคุณภาพและความพรีเมียมในแบบที่คาดหวังจากแบรนด์ BMW และหลังจาก X1 ประสบความสำเร็จ รถ BMW ขับหน้าและใช้แพลตฟอร์ม UKL ก็เริ่มได้รับการยอมรับมากขึ้นเรื่อย ๆ จนกลายเป็นมาตรฐานในหลายรุ่นของแบรนด์ในกลุ่มรถเล็กและรถ Crossover ทุกวันนี้

ภายนอก: วิวัฒนาการของการออกแบบบีเอ็ม x1

บีเอ็ม x1 ขนาดไม่ใหญ่เหมาะสำหรับขับในเมือง

รูปลักษณ์ภายนอกของ BMW X1 รุ่นที่สอง (F48) สะท้อนให้เห็นถึงแนวทางใหม่ของแบรนด์ BMW ที่เน้นความลงตัวระหว่างความสปอร์ตและความสง่างามในแบบฉบับรถยุโรป แม้จะยังคงไว้ซึ่งเอกลักษณ์ดั้งเดิมของ BMW แต่ F48 ก็ถูกออกแบบให้มีบุคลิกที่ทันสมัยและเข้าถึงกลุ่มผู้ใช้ที่หลากหลายมากขึ้น โดยเฉพาะผู้ที่มองหารถครอสโอเวอร์ขนาดกะทัดรัดที่ขับสนุกและใช้งานได้จริงในชีวิตประจำวัน

เมื่อเปรียบเทียบกับ X1 รุ่นแรก (E84) ซึ่งยังคงกลิ่นอายของรถ Station Wagon ไว้พอสมควร F48 กลับมีเส้นสายที่ชัดเจนและมีกล้ามเนื้อชัดเจนมากขึ้น ทำให้ดูเป็นรถ Crossover SUV ที่เต็มตัวกว่าเดิม เส้นตัวถังดูกระชับ ไหลลื่น และให้ความรู้สึกมั่นคงแข็งแกร่งมากขึ้นจากทุกมุมมอง

ด้านหน้าของตัวรถมาพร้อมกระจังหน้าไตคู่ Kidney Grille ขนาดใหญ่ซึ่งเป็นซิกเนเจอร์ของ BMW ที่ได้รับการปรับให้มีความโดดเด่นและร่วมสมัยมากขึ้น ไฟหน้าแบบ LED พร้อมไฟส่องสว่างเวลากลางวัน Daytime Running Light มาในดีไซน์ทรงเฉียบ มีวงแหวน LED ที่เป็นอีกหนึ่งเอกลักษณ์ของ BMW ที่ยังคงถูกสานต่อและพัฒนาให้ทันสมัยอยู่เสมอ

ด้านข้างของรถโดดเด่นด้วย เส้นหลังคาทรงไดนามิก ที่ลาดเอียงอย่างลงตัว ช่วยเพิ่มความรู้สึกสปอร์ตโดยไม่ลดทอนพื้นที่ภายใน เสริมด้วย เส้น Hofmeister kink ที่มุมกระจกหลัง ซึ่งลายเซ็นการออกแบบที่มีมาตั้งแต่ยุคคลาสสิกของ BMW และยังคงสืบทอดมาจนถึงปัจจุบัน

นอกจากนี้ ตัวรถยังมีความสูงจากพื้น (Ground Clearance) ถึง 183 มม. ซึ่งเพียงพอสำหรับการลุยทางขรุขระเล็กน้อย หรือแม้แต่ถนนในเมืองที่มีลูกระนาดชัน ๆ ขณะที่ขอบหน้าต่างด้านข้างที่สูง และแนวกระจกที่ลาดต่ำช่วยให้รถดูบึกบึนและมีความเป็น SUV ที่ชัดเจนมากขึ้น

ท้ายรถได้รับการออกแบบให้ดูเรียบแต่หนักแน่นในสไตล์ BMW สมัยใหม่ มาพร้อม ไฟท้ายทรงตัว L แนวนอน ที่ให้กราฟิกแบบ LED คมชัด ดูพรีเมียมยิ่งขึ้นหลังการไมเนอร์เชนจ์ และปิดท้ายด้วย ท่อไอเสียคู่แบบสมมาตรที่ฝังอยู่ในกันชนหลัง ช่วยเสริมภาพลักษณ์ของความสปอร์ตได้อย่างมีรสนิยม

ขนาดตัวถังของ บีเอ็ม x1 F48 มีความยาว 4,439 มม. ความกว้าง 1,821 มม. ความสูง 1,598 มม. ฐานล้อ 2,670 มม. ด้วยขนาดที่ไม่ใหญ่จนเกินไปแต่ยังคงความโปร่งและให้พื้นที่ภายในอย่างพอเหมาะ F48 จึงสามารถตอบโจทย์ทั้งครอบครัวขนาดเล็กและคนเมืองที่ต้องการรถแบบอเนกประสงค์ที่ขับง่ายและยังดูดีในทุกสถานการณ์

มิติใหม่ของความอเนกประสงค์

หนึ่งในจุดแข็งสำคัญของ BMW X1 รุ่นที่สอง (F48) คือความสามารถในการใช้งานที่เพิ่มขึ้นอย่างชัดเจนทั้งในด้านพื้นที่ภายในและความสะดวกสบาย ซึ่งเป็นผลมาจากการใช้แพลตฟอร์ม UKL ที่วางเครื่องยนต์ตามขวาง ส่งผลให้วิศวกรของ BMW สามารถออกแบบพื้นที่ใช้สอยได้มีประสิทธิภาพมากทั้งในส่วนของห้องโดยสารและห้องเก็บสัมภาระ

เมื่อเทียบกับรุ่นก่อนหน้า X1 F48 มีพื้นที่ห้องเก็บของด้านท้ายเพิ่มขึ้นถึง 85 – 200 ลิตร ถือเป็นการขยับขยายที่น่าประทับใจสำหรับรถในกลุ่ม Compact Premium โดยความจุเริ่มต้นอยู่ที่ 505 ลิตรเมื่อใช้งานแบบเบาะหลังตั้งตรง และสามารถขยายได้สูงสุดถึง 1,550 ลิตร เมื่อพับเบาะหลังลง ทำให้การขนสัมภาระขนาดใหญ่ เช่น กระเป๋าเดินทาง เต็นท์ หรืออุปกรณ์กีฬา เป็นเรื่องง่ายยิ่งขึ้น

รถbm X1 F48 มีพื้นที่ด้านท้ายเพิ่มขึ้นถึงจากรุ่นก่อนหน้า

BMW ยังออกแบบรายละเอียดเล็กๆ น้อยๆ เพื่อเพิ่มความสะดวกสบายในการใช้งานจริง เช่น

  • ฝาท้ายไฟฟ้า: ที่สามารถเปิด-ปิดได้ด้วยการกดปุ่มหรือใช้เท้าเตะใต้กันชนหลัง (ในบางรุ่นย่อย)
  • พื้นห้องเก็บของแบบปรับระดับได้: เพื่อซ่อนของหรือเพิ่มความลึกในการวางสัมภาระ
  • ช่องจ่ายไฟ 12 โวลต์: สำหรับใช้งานอุปกรณ์ไฟฟ้าขนาดเล็ก
  • ตะขอเกี่ยวถุงช้อปปิ้งและตาข่ายยึดสัมภาระ: เพื่อป้องกันของเล็ก ๆ กลิ้งไปมา

ไม่เพียงแค่ห้องเก็บของที่ได้รับการออกแบบมาอย่างใส่ใจ พื้นที่ในห้องโดยสารก็มีการปรับปรุงอย่างเห็นได้ชัด ผู้โดยสารแถวหลังจะรู้สึกได้ถึงพื้นที่วางขาและความโปร่งสบายที่มากขึ้น ซึ่งเป็นผลจากฐานล้อที่ยาวขึ้นและการจัดสรรพื้นที่ภายในที่ลงตัวมากขึ้น การผสมผสานระหว่างการออกแบบที่ลงตัวกับการใช้งานจริงที่คิดมาอย่างรอบคอบ ทำให้ BMW X1 F48 เป็นหนึ่งในรถ Crossover พรีเมียมที่ตอบโจทย์การใช้งานได้ทั้งในชีวิตประจำวันและการเดินทางไกลได้อย่างน่าประทับใจ

ไลน์อัพเครื่องยนต์ของ X1 F48 ในประเทศไทย

รถbm X1 (F48) เครื่องยนต์รุ่นพื้นฐานคือ sDrive18i

เครื่องยนต์เบนซิน B38

สำหรับ BMW X1 (F48) ที่วางจำหน่ายในประเทศไทย รุ่นพื้นฐานที่ได้รับความนิยมคือรุ่น sDrive18i ซึ่งมาพร้อมกับเครื่องยนต์เบนซินแบบ 3 สูบ ขนาด 1.5 ลิตร รหัส B38 พร้อมระบบเทอร์โบ TwinPower Turbo ที่ให้กำลังสูงสุด 140 แรงม้า และแรงบิด 220 นิวตันเมตร ส่งกำลังผ่านเกียร์อัตโนมัติ 7 สปีดแบบคลัตช์คู่ (Steptronic DCT) และระบบขับเคลื่อนล้อหน้า

เครื่องยนต์ B38 นี้แม้จะมีขนาดเล็ก แต่ให้สมรรถนะที่เพียงพอสำหรับการใช้งานในชีวิตประจำวัน ตอบสนองไว และขับขี่ได้อย่างมั่นใจ จุดเด่นคือเทคโนโลยีเครื่องยนต์ขั้นสูง ไม่ว่าจะเป็นระบบ Valvetronic ที่ควบคุมการยกวาล์วแบบแปรผัน, ระบบแปรผันองศาแคมชาฟต์ VANOS, การฉีดเชื้อเพลิงตรงเข้าห้องเผาไหม้ รวมถึงการขับเคลื่อนด้วยโซ่ไทม์มิ่งที่ทนทาน

ในช่วงแรกที่เครื่องยนต์ B38 เปิดตัว อาจพบปัญหาเล็กน้อยเรื่องการสั่นจากเพลาข้อเหวี่ยง แต่ในเวอร์ชันหลังปี 2017 BMW ได้ปรับปรุงให้เครื่องยนต์เดินเรียบและมีความทนทานมากยิ่งขึ้น

สำหรับการใช้งานในบ้านเรา เครื่องยนต์นี้เหมาะกับคนที่ต้องการความประหยัดแต่ยังคงไว้ซึ่งภาพลักษณ์พรีเมียม โดยผู้ใช้งานควรเติมน้ำมันเชื้อเพลิงคุณภาพดีระดับ Gasohol 95 ขึ้นไป และควรเข้ารับการบำรุงรักษาตามระยะอย่างสม่ำเสมอ เพื่อให้สมรรถนะคงที่และอายุการใช้งานยาวนาน

เครื่องยนต์ดีเซล B47

BMW X1 (F48) ที่ขายในประเทศไทยยังมีตัวเลือกเครื่องยนต์ดีเซลในรุ่น sDrive18d และ sDrive20d ซึ่งใช้เครื่องยนต์ดีเซล 4 สูบ ขนาด 2.0 ลิตร รหัส B47 ที่ขึ้นชื่อเรื่องความประหยัดน้ำมันและแรงบิดที่เหลือเฟือสำหรับการขับขี่ทั้งในเมืองและทางไกล

สำหรับรุ่น sDrive18d ขับเคลื่อนล้อหน้า ให้กำลังสูงสุด 150 แรงม้า และแรงบิด 330 นิวตันเมตร ขณะที่รุ่น sDrive20d มีกำลังสูงขึ้นที่ 190 แรงม้า และแรงบิดสูงสุด 400 นิวตันเมตร ส่งกำลังผ่านเกียร์อัตโนมัติ 8 สปีด แบบ Steptronic ที่ให้การเปลี่ยนเกียร์ลื่นไหลและแม่นยำ

จุดเด่นของเครื่องยนต์ B47 คือการตอบสนองที่ดีตั้งแต่รอบต่ำ พร้อมความประหยัดน้ำมันที่เหนือกว่าเครื่องยนต์เบนซิน แต่ก็มีข้อควรระวังคือ ต้องใช้น้ำมันดีเซลคุณภาพสูง (Euro 5 ขึ้นไป) และควรบำรุงรักษาตามระยะอย่างเคร่งครัด โดยเฉพาะการดูแลระบบเทอร์โบและกรองอนุภาค (DPF) เพื่อยืดอายุการใช้งาน

ระบบส่งกำลังของ BMW X1 F48

รถbm X1 (F48) ที่วางขายในไทยมาพร้อมเกียร์อัตโนมัติ 2 แบบขึ้นอยู่กับรุ่นเครื่องยนต์ โดยในรุ่น sDrive18i (เบนซิน 3 สูบ 1.5 ลิตร) จะใช้เกียร์อัตโนมัติคลัทช์คู่ 7 สปีด ส่วนรุ่นดีเซล sDrive18d และ sDrive20d ใช้เกียร์อัตโนมัติ Steptronic 8 สปีด

สำหรับเกียร์คลัทช์คู่ 7 สปีด ของ sDrive18i แม้จะให้การเปลี่ยนเกียร์ที่รวดเร็วและประหยัดน้ำมัน แต่ในช่วงปีแรก ๆ ของการผลิต อาจพบอาการเปลี่ยนเกียร์กระตุกเล็กน้อยโดยเฉพาะในสภาพการขับขี่ที่มีความหนาแน่น อย่างไรก็ตาม ปัญหานี้ถูกแก้ไขแล้วผ่านการอัปเดตซอฟต์แวร์จากศูนย์บริการ ส่วนการบำรุงรักษาระยะยาว แนะนำให้ตรวจสอบสภาพคลัตช์และออยล์เกียร์อย่างสม่ำเสมอ โดยทั่วไปคลัตช์จะมีอายุการใช้งานประมาณ 100,000 – 120,000 กิโลเมตร

ในขณะที่เกียร์ Steptronic 8 สปีดในรุ่นดีเซลนั้นขึ้นชื่อเรื่องความทนทานและการเปลี่ยนเกียร์ที่นุ่มนวล แม้จะไม่เร็วเท่าแบบคลัตช์คู่ แต่ก็ให้ความมั่นใจในการใช้งานระยะยาว โดยเฉพาะสำหรับคนที่เน้นความสบายในการขับขี่ และหากมีการเปลี่ยนถ่ายน้ำมันเกียร์ตามระยะ แทบไม่มีปัญหาอะไร และสามารถใช้งานได้ยาวนานเกินกว่า 200,000 กิโลเมตร ได้สบาย ๆ

รถbm X1 (F48) เครื่องยนต์รุ่นพื้นฐานคือ sDrive18i

ระบบกันสะเทือนและพวงมาลัย

หนึ่งในจุดแข็งของ BMW X1 (F48) คือระบบกันสะเทือนที่ให้ความนุ่มนวลพอดี ขับแล้วมั่นใจ และมีความทนทานในระดับที่น่าประทับใจ รุ่นที่จำหน่ายในไทยทุกรุ่นใช้ระบบกันสะเทือนหน้าแบบแมคเฟอร์สันสตรัทพร้อมแขนล่างที่ผลิตจากอะลูมิเนียมน้ำหนักเบาและโครงสร้างรองรับจากเหล็กกล้าความแข็งแรงสูง ส่วนกันสะเทือนด้านหลังเป็นแบบมัลติลิงก์

โช้คอัพและบูชต่าง ๆ ถือว่าอึดพอตัว โช้คสามารถใช้งานได้ยาวนานกว่า 80,000 กิโลเมตร ก่อนจะเริ่มมีอาการเสื่อม เช่นเดียวกับบูชแขนค้ำยันรองรับที่ใช้งานได้ราว 80,000 กิโลเมตร อย่างไรก็ตาม จุดที่มักต้องดูแลก่อนเพื่อนคือก้านเหล็กกันโคลงที่มีอายุการใช้งานสั้นกว่าจุดอื่น เมื่อเริ่มมีเสียงหรือหลวมจะมีเสียงรบกวนที่ช่วงล่าง

ระบบพวงมาลัยของ X1 F48 ใช้ระบบแร็คพวงมาลัยไฟฟ้าซึ่งให้น้ำหนักพวงมาลัยที่แม่นยำและปรับตามความเร็วได้ดี ระบบนี้โดยทั่วไปไม่มีปัญหาจุกจิก แต่เมื่อผ่านหลัก 150,000 กิโลเมตร อาจเริ่มมีเสียงหรือความรู้สึกคลอนเล็กน้อย ขึ้นอยู่กับการใช้งาน

ด้านระบบเบรกมาครบตามสไตล์ BMW ล้อหน้าใช้ดิสก์เบรกแบบมีช่องระบายความร้อน ส่วนล้อหลังเป็นดิสก์เบรกธรรมดา พร้อมระบบช่วยเบรกอย่าง ABS, EBD, DSC และระบบควบคุมการเบรกในโค้ง CBC (Cornering Brake Control) ซึ่งทำงานได้อย่างมั่นใจในทุกสภาพถนน

รถbm X1 เจน 2 ในไทยมีเฉพาะเกียร์อัตโนมัติเท่านั้น

ห้องโดยสารและความสะดวกสบายของ

ภายในของ BMW X1 (F48) ยังคงมาตรฐานความพรีเมียมตามสไตล์ของแบรนด์ วัสดุที่ใช้ให้สัมผัสดี มีทั้งโทนสีและการตกแต่งที่แตกต่างกันไปตามแต่ละรุ่นย่อย โดยรวมถือว่าการประกอบแน่นหนาและให้ความรู้สึกหรูหรากว่าคู่แข่งหลายรุ่นในกลุ่มเดียวกัน

ด้วยการเปลี่ยนมาใช้แพลตฟอร์ม UKL ทำให้ห้องโดยสารของ X1 โฉมนี้มีความกว้างขวางขึ้นอย่างชัดเจน ผู้โดยสารตอนหลังจะรู้สึกได้ถึงพื้นที่วางขาที่มากขึ้น และพื้นที่เหนือศีรษะก็ไม่อึดอัด แม้จะนั่งกันครบสามคนก็ยังพอมีที่ให้ขยับตัว

แผงแดชบอร์ดยังคงเอกลักษณ์แบบรถbm โดยเน้นหันเข้าหาคนขับเล็กน้อยเพื่อความสะดวกในการควบคุม หน้าจอกลางถูกติดตั้งแบบลอยตัวอยู่ด้านบน ทำให้มองเห็นง่ายโดยไม่ต้องละสายตาจากถนนมากนัก ขนาดหน้าจอขึ้นอยู่กับรุ่นย่อย นอกจากนี้ยังมาพร้อมระบบ iDrive ในการควบคุมระบบอินโฟเทนเมนต์ของรถได้อย่างสะดวกและรวดเร็ว

เบาะนั่งออกแบบมาเพื่อความสบายในการเดินทางไกล รองรับสรีระได้ดี โดยเฉพาะเบาะคู่หน้าจะปรับไฟฟ้าได้พร้อมฟังก์ชันเมมโมรี และบางรุ่นยังมีฟังก์ชันอุ่นเบาะหรืออุ่นพวงมาลัยเพิ่มเข้ามาด้วย วัสดุหุ้มเบาะในเวอร์ชันไทยมีให้เลือกทั้งผ้า หนังสังเคราะห์ Sensatec และหนังแท้ Vernasca แล้วแต่รุ่นย่อย

ด้านท้ายรถมาพร้อมห้องเก็บสัมภาระมีขนาดประมาณ 505 ลิตร และสามารถขยายได้ถึง 1,550 ลิตร เมื่อพับเบาะหลังลง โดยเบาะนั่งสามารถพับแยกได้แบบ 40:20:40 ซึ่งเหมาะกับการบรรทุกสัมภาระหลากหลายรูปแบบ ไม่ว่าจะเป็นกระเป๋าเดินทางหรือของชิ้นยาวอย่างไม้กอล์ฟ

ในเรื่องความสะดวกสบาย X1 ก็ให้มาครบพอตัวในรุ่นที่จำหน่ายในไทย เช่น ระบบปรับอากาศแบบอัตโนมัติแยกฝั่งซ้าย-ขวา, ระบบ Comfort Access เปิดประตูโดยไม่ต้องกดกุญแจ, หลังคากระจกพาโนรามา, ฝาท้ายไฟฟ้า และไฟตกแต่ง Ambient Light ที่สามารถปรับโทนสีได้ เพิ่มบรรยากาศให้ห้องโดยสารในช่วงกลางคืน

x1 เจน 2 ห้องโดยสารกว้างนั่งสบายกว่าเดิม

เทคโนโลยีและอุปกรณ์

BMW X1 (F48) ที่ขายในไทยมาพร้อมเทคโนโลยีที่ตอบโจทย์ทั้งความปลอดภัยและความสะดวกสบาย โดยขึ้นอยู่กับรุ่นย่อยและปีที่ผลิต ระบบความบันเทิงใช้แพลตฟอร์ม iDrive ที่คุ้นเคย หน้าจอมีทั้งขนาด 6.5 และ 8.8 นิ้ว พร้อมปุ่มควบคุมแบบหมุนหรือระบบสัมผัสในรุ่นที่สูงขึ้น รองรับการเชื่อมต่อสมาร์ตโฟนผ่าน Bluetooth และในรุ่นที่ผลิตปลายปี 2019 เป็นต้นมาเริ่มมี Apple CarPlay (บางรุ่นอาจต้องซื้อเพิ่ม) ส่วน Android Auto เพิ่งเริ่มรองรับในบางเวอร์ชันหลังจากมีการอัปเดตระบบ

หลังปรับโฉม LCI ในปี 2020 รุ่นย่อยที่สูงขึ้นในไทย เช่น sDrive20d M Sport ได้หน้าปัดดิจิทัลแบบเต็มรูปแบบ พร้อมแสดงผลตามโหมดขับขี่ เช่น ECO PRO, Comfort หรือ Sport ช่วยให้ข้อมูลขับขี่ดูเข้าใจง่ายและล้ำสมัยมากขึ้น

ระบบช่วยเหลือการขับขี่ที่ติดตั้งมาให้แล้วแต่รุ่น เช่น กล้องมองหลัง, เซนเซอร์รอบคัน, ระบบช่วยจอดอัตโนมัติ และระบบเตือนการชนด้านหน้า รวมถึงเบรกฉุกเฉินในบางรุ่น สำหรับระบบควบคุมความเร็วอัตโนมัติแบบแปรผัน (Adaptive Cruise Control), ระบบตรวจจับมุมอับสายตา หรือจอ Head-up Display จะมีเป็นอุปกรณ์เสริมที่ต้องซื้อเพิ่มเติม

ไฟหน้า LED เป็นอุปกรณ์มาตรฐานในทุกรุ่นย่อย ช่วยให้วิสัยทัศน์ในการขับขี่ตอนกลางคืนดีขึ้น เช่นเดียวกับไฟท้าย LED ก็ช่วยเพิ่มความปลอดภัยและดูทันสมัยในด้านดีไซน์เช่นกัน

ระบบเสียงในรุ่นมาตรฐานให้คุณภาพอยู่ในระดับดี แต่ถ้าเป็นรุ่นท็อปจะได้ระบบเสียง Harman Kardon ซึ่งให้เสียงที่ชัดและมิติเสียงดีกว่าอย่างชัดเจน

โดยรวมแล้ว X1 ถือเป็น Crossover SUV ที่ให้เทคโนโลยีที่พอเพียงสำหรับการใช้งานจริงในชีวิตประจำวัน ไม่มากเกินจนซับซ้อน แต่ก็ไม่ขาดในเรื่องความปลอดภัยและความบันเทิง

x1 (F48) ความสะดวกสบายขึ้นอยู่กับรุ่นย่อยและปีที่ผลิต

คำแนะนำในการเลือกซื้อ BMW X1 F48 มือสอง

หากคุณกำลังมองหา BMW X1 (F48) มือสอง สิ่งสำคัญอันดับแรกคือประวัติการบำรุงรักษาของรถ ควรตรวจสอบให้แน่ใจว่ารถมีการเปลี่ยนน้ำมันเครื่องและน้ำมันเกียร์ตามระยะ รวมถึงเข้าศูนย์หรืออู่ที่ได้มาตรฐานอย่างสม่ำเสมอ

X1 F48 ที่มีระยะทางใช้งานไม่เกิน 100,000 กม. มักอยู่ในช่วงที่ระบบต่าง ๆ ยังไม่เสื่อมสภาพมาก และยังไม่ถึงรอบเปลี่ยนชิ้นส่วนใหญ่ ๆ พวกอะไหล่ช่วงล่างและชิ้นส่วนภายในเครื่องยนต์ หากเจอรถที่ไมล์น้อย ๆ ก็ถือเป็นตัวเลือกที่น่าซื้อ

สำหรับการใช้งานและบำรุงรักษา รุ่นเครื่องยนต์เบนซินค่อนข้างดูแลง่ายและไม่จุกจิก ส่วนเครื่องดีเซลอาจมีรายละเอียดที่ต้องดูแลเพิ่มเติมอีกเล็กน้อย X1 F48 เวอร์ชันขายไทยจะเป็นรถขับเคลื่อนล้อหน้าทั้งหมด ดังนั้นจึงประหยัดน้ำมันและมีค่าบำรุงรักษาที่ถูกกว่ารถที่มีระบบขับเคลื่อนสี่ล้อ xDrive

อย่าลืมตรวจสอบอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ให้ครบถ้วน โดยเฉพาะระบบจอ iDrive กล้องมองหลัง เซนเซอร์ต่าง ๆ และระบบไฟฟ้าภายในห้องโดยสาร และตรวจสอบระบบกันสะเทือนว่ามีเสียงผิดปกติหรือไม่ ดูสภาพตัวถังกับห้องโดยสารว่าเคยชนหรือมีการซ่อมหนักหรือไม่ ถ้าได้ X1 F48 คันที่ดูแลดี มีประวัติชัดเจน Crossover รุ่นนี้จะเป็นตัวเลือกที่ขับสนุก ประหยัด และยังดูทันสมัยไปอีกหลายปี

บทสรุป BMW X1 เจเนอเรชันที่ 2 น่าซื้อหรือไม่?

รถbm X1 รุ่นเครื่องยนต์เบนซินดูแลง่ายเหมาะกับซื้อมือสอง

BMW X1 เจเนอเรชันที่ 2 (F48) ถือเป็นการเปลี่ยนผ่านครั้งสำคัญของ BMW ในกลุ่มรถยนต์ระดับเริ่มต้นของแบรนด์ ด้วยการเปลี่ยนไปใช้แพลตฟอร์มขับเคลื่อนล้อหน้า ทำให้รถรุ่นนี้มีพื้นที่ใช้สอยมากขึ้นทั้งในห้องโดยสารและห้องเก็บสัมภาระ รวมถึงใช้งานได้ง่ายขึ้นในชีวิตประจำวัน

ถึงแม้จะเปลี่ยนแพลตฟอร์ม แต่ X1 F48 ก็ยังคงบุคลิกของ BMW ไว้ได้ครบ ทั้งในด้านการควบคุมที่แม่นยำ ช่วงล่างที่มั่นใจ และความสนุกในการขับขี่ที่หาไม่ได้จากรถในกลุ่มเดียวกันหลายรุ่น นั่นทำให้ X1 เป็นตัวเลือกที่ลงตัวระหว่างรถที่ใช้งานได้จริงกับรถที่ขับสนุก

รุ่นย่อยและระบบขับเคลื่อนที่หลากหลายตอบโจทย์ผู้ใช้ที่มีไลฟ์สไตล์แตกต่างกัน ไม่ว่าจะเป็นรุ่นเครื่องยนต์เบนซินที่เน้นความประหยัดและค่าบำรุงรักษาต่ำ หรือเครื่องยนต์ดีเซลที่มีกำลังและแรงบิดให้ใช้อย่างเหลือ ๆ ให้ความมั่นใจในการขับขี่ได้ดีทั้งในเมืองและนอกเมือง

สำหรับในตลาดมือสอง X1 F48 รุ่นเครื่องยนต์เบนซินจะมีราคาถูกกว่ารุ่นเครื่องยนต์ดีเซล ถ้าเน้นขับขี่ใช้งานในเมืองเป็นหลัก รุ่นนี้เพียงพอกับความต้องการแน่นอน แต่ถ้าขับขี่ทางไกลบ่อย ๆ ต้องการรถที่ขับสนุกมากขึ้น หรือบรรทุกคนและสัมภาระจำนวนมาก ๆ เป็นประจำ รุ่นเครื่องยนต์ดีเซลจะตอบโจทย์ได้ดีกว่า

X1 F48 ที่ได้รับการดูแลอย่างสม่ำเสมอจะไม่ค่อยเจอปัญหาใหญ่ ๆ ที่น่ากังวล ถือเป็นรถที่ยังมีอายุน้อย รูปลักษณ์หน้าตายังไม่ดูเก่าหรือตกยุค มีเทคโนโลยีที่เป็นปัจจุบัน หากได้รับการดูแลต่อตามระยะ ทั้งรุ่นเบนซินและดีเซลก็สามารถใช้งานได้อย่างมั่นใจไปได้ยาว ๆ อีกหลายปี

BMW X1 เจเนอเรชันที่ 2 (F48) คือรถ Crossover SUV ขนาดกะทัดรัดที่ตอบโจทย์รอบด้าน ทั้งเรื่องดีไซน์ ฟังก์ชันการใช้งาน พื้นที่ภายใน และสมรรถนะ เหมาะสำหรับคนที่อยากได้รถใช้งานทุกวัน แต่ยังให้ความสำคัญกับอารมณ์หลังพวงมาลัยตามสไตล์ BMW อย่างแท้จริง

ค้นหา BMW X1 เจน 2 (ปี 2015 - 2022) มือสองที่ใช่สำหรับคุณได้ที่นี่

เรารวบรวมประกาศขาย x1 จาก Facebook Marketplace, Kaidee, One2Car และ TaladRod มาไว้ในที่เดียว

เปรียบเทียบราคา ดูประเภทผู้ขาย แล้วเลือกคันที่ตรงใจคุณได้ง่ายๆ

เช็ค bmw x1 ราคามือสองในไทยได้ที่นี่ → BMW X1 เจน 2

  • กรุงเทพมหานคร, 500 km
  • ยี่ห้อ: BMW
  • รุ่น: X1
  • ปี: 2015-2022
  • แหล่งที่มา: Facebook, Kaidee, One2Car, TaladRod



คู่มือเลือกซื้อ BMW X1 เจน 2 (F48) มือสอง –SUV ขับดีจากค่ายใบพัดสีฟ้า