Mazda CX5 รุ่นที่ 2 มือสอง: คุ้มค่าหรือไม่? มาเช็กกัน!

Mazda CX5 รถ Crossover SUV ที่ประสบความสำเร็จสูงสุดของ Mazda

รถมาสด้า CX-5 ถือเป็นรถ Crossover SUV ขนาดกลางที่ประสบความสำเร็จสูงสุดของ Mazda ความสำเร็จจากรุ่นแรกถูกส่งต่อมายังรุ่นที่สองพร้อมกับการพัฒนาให้ดีขึ้นทุกด้าน เริ่มตั้งแต่รูปลักษณ์ภายนอกแบบ KODO Design ที่มีเส้นสายคมเข้มและสปอร์ตมากขึ้น พร้อมรายละเอียดที่หรูหรากว่าเดิม ภายในห้องโดยสารได้รับการอัปเกรดหลายจุด ใช้วัสดุพรีเมียมขึ้น มีระบบอินโฟเทนเมนต์ที่ทันสมัยขึ้น การเก็บเสียงดีขึ้น และมาพร้อมระบบความปลอดภัยขั้นสูงที่ใส่มาให้มากขึ้น เช่น ระบบเบรกอัตโนมัติ ระบบเตือนการชนด้านหน้าและช่วงเบรกอัตโนมัติ ระบบควบคุมความเร็วอัตโนมัติแบบแปรผัน ระบบช่วยควบคุมรถให้อยู่ในเลน ระบบไฟหน้าอัจฉริยะ ระบบเตือนเมื่อมีรถอยู่ในจุดอับสายตา ระบบช่วยหยุดรถอัตโนมัติขณะถอยหลัง เป็นต้น

ในเชิงโครงสร้าง เครื่องยนต์ และระบบขับเคลื่อน CX-5 เจเนอเรชันที่ 2 ยังคงยืนอยู่บนพื้นฐานเทคโนโลยี Skyactiv แต่มีการปรับปรุงประสิทธิภาพให้ดียิ่งขึ้นทุกด้าน ไม่ว่าจะเป็นเครื่องยนต์ ระบบส่งกำลัง ช่วงล่าง พวงมาลัย เพื่อให้ส่งมอบประสบการณ์ขับขี่ที่ดีที่สุดให้กับผู้ขับ ช่วงล่างปรับจูนใหม่ให้ขับนุ่มนวลแต่ยังคงความแม่นยำและช่วยให้ควบคุมรถได้อย่างมั่นใจทุกสถานการณ์

ทั้งหมดนี้ทำให้ CX-5 เจเนอเรชันที่ 2 สร้างความประทับใจให้กับผู้ใช้หลายคนและกลายเป็นหนึ่งในตัวเลือกอันดับต้น ๆ ของคนที่มองหารถ Crossover SUV ขนาดกลางที่ครบเครื่องทุกด้านทั้งสมรรถนะ การขับขี่ ความสะดวกสบาย และความปลอดภัย ขณะที่ในตลาดมือสองก็ยังถือเป็นโมเดลใหม่ที่ไม่ตกรุ่น แต่กลับมีราคาที่เข้าถึงได้ง่าย และเป็น Crossover SUV ขนาดกลางที่น่าสนใจมาก ๆ อีกรุ่นในตอนนี้

บทความนี้จะพามาเจาะลึกทั้งข้อดี ข้อเสีย ปัญหาที่พบได้บ่อยในรถรุ่นนี้ และประสบการณ์ใช้งานจริงของ CX-5 เจเนอเรชันที่ 2 รวมถึงคำแนะนำสำหรับคนที่กำลังมองหารถมือสองมาไว้ใช้งาน มาดูกันว่าเมื่อเวลาผ่านไปหลายปีแล้ว Crossover SUV รุ่นนี้จะยังคงเป็นรถที่ขับสนุกและให้ความสบายได้ในระดับที่น่าพอใจเหมือนวันแรกที่ออกจากโชว์มากแค่ไหน

การออกแบบและตัวถังรถมาสด้า CX-5

รถมาสด้า CX-5 มีเส้นสายคมเข้มและสปอร์ตตาม KODO Design

Mazda CX-5 เจเนอเรชันที่ 2 ยังคงโดดเด่นในเรื่องดีไซน์ภายนอกตามปรัชญาการออกแบบ KODO – Soul of Motion ตัวรถมากับเส้นสายที่คมชัด ดูเคลื่อนไหวแม้หยุดนิ่ง ผสมผสานความหรูหราพรีเมียมและความทันสมัยเข้าด้วยกันอย่างลงตัว นี่คือหนึ่งในจุดขายหลักที่ทำให้หลายคนตกหลุมรัก SUV รุ่นนี้ตั้งแต่แรกเห็น ไม่ว่าจะจอดอยู่ในเมืองหรือกำลังแล่นอยู่บนถนน CX-5 ก็ยังดูเป็นรถที่มีสไตล์และโดดเด่นอยู่เสมอ

แต่ถ้ามองให้ลึกลงไปในแง่คุณภาพตัวถัง ยังมีบางจุดที่ผู้ซื้อมือสองควรรู้ โดยเฉพาะถ้าคุณวางแผนจะใช้งานรถคันนี้ในระยะยาว เริ่มจากงานสีที่ Mazda ทำออกมาได้ดีในแง่ความสวยงาม โดยเฉพาะสีแดง Soul Red Crystal ที่ขึ้นชื่อเรื่องความลึกของเฉดและการสะท้อนแสง แต่ในแง่ความทนทาน สีตัวถังของ CX-5 เจเนอเรชันที่ 2 ยังคงค่อนข้างเปราะบาง สามารถเกิดรอยกะเทาะของสีชั้นนอก เกิดริ้วรอยขนแมวหรือรอยถลอกจากเศษหินหรือกรวดที่ดีดขึ้นมาจากพื้นถนนได้ง่าย แม้ว่าพื้นผิวจะไม่ขึ้นสนิมในทันทีเนื่องจากมีชั้นรองพื้นที่ค่อนข้างหนา แต่ก็ส่งผลต่อความสวยงามของตัวรถในภาพรวม หากริ้วรอยใหญ่จนมองเห็นชัด แนะนำให้รีบเก็บสีและซ่อมแซมรอยเหล่านั้นเพื่อป้องกันความเสียหายที่อาจลุกลามใหญ่โตมากขึ้นในระยะยาว

สำหรับด้านใต้ของตัวถังรถโดยเฉพาะชิ้นส่วนช่วงล่างและโครงสร้างใต้ท้องรถ แม้จากโรงงานจะมีการเคลือบป้องกันสนิมมาในระดับหนึ่ง แต่ในสภาพใช้งานจริงโดยเฉพาะในประเทศที่มีฝนตกบ่อยหรือมีการใช้งานรถอย่างสมบุกสมบัน สารเคลือบกันสนิมที่มาจากโรงงานมักจะไม่ค่อยทน อยู่ได้เพียง 2 – 3 ปีแล้วก็จะเริ่มหลุดลอกให้เห็นตามจุดที่โดนชะล้างบ่อย ๆ เช่นซุ้มล้อ หากไม่ได้รับการฉีดพ่นซ้ำก็อาจทำให้มีความเสี่ยงในการเกิดสนิมบริเวณนั้นได้ ดังนั้นถ้ามองหา CX-5 เจเนอเรชันที่ 2 มือสอง ควรให้ความสำคัญกับรถคันที่มีการเคลือบกันสนิมช่วงล่างมาแล้ว หรือถ้ายังไม่เคยเคลือบเลยนับตั้งแต่ออกจากโรงงานแนะนำให้เคลือบกันสนิมใต้ท้องรถเพิ่มเติมหากตั้งใจใช้รถคันนี้ยาว ๆ

อีกจุดเล็ก ๆ ที่ไม่ควรมองข้ามคือฝากระโปรงหน้าและกันชนซึ่งเป็นบริเวณที่โดนเศษหินบ่อยที่สุด จุดนี้มักเกิดริ้วรอยที่มองเห็นชัด การติดฟิล์มกันสะเก็ดหิน (Paint Protection Film) จะช่วยลดโอกาสเกิดรอยถลอกและช่วยยืดอายุความสวยงามของสีและตัวถังรถไปได้อีกนาน

คุณสมบัติทางเทคนิคและความน่าเชื่อถือของ cx5

รถมาสด้า CX-5  ใช้เครื่องยนต์เทคโนโลยี Skyactiv

ในทางเทคนิค cx5 เจเนอเรชันที่ 2 ไม่ได้ฉีกจากรุ่นแรกแบบหน้ามือเป็นหลังมือ แม้ว่าจะไม่มีเทคโนโลยีใหม่ที่หวือหวาแต่สิ่งที่มีอยู่ก็ถูกปรับให้ดีขึ้นในจุดที่จำเป็น วิศวกรของ Mazda เลือกจะขัดเกลาสิ่งที่มีอยู่เดิมมากกว่าปฏิวัติใหม่ ซึ่งผลลัพธ์ก็คือรถที่ขับดีขึ้น ใช้งานได้มั่นใจขึ้น แม้พื้นฐานหลายอย่างจะยังคงเดิม

เครื่องยนต์และระบบส่งกำลัง

CX-5 เจเนอเรชันที่ 2 ที่จำหน่ายในประเทศไทยมีเครื่องยนต์ให้เลือกใช้ 2 รูปแบบ ได้แก่ เครื่องยนต์เบนซิน Skyactiv-G และ เครื่องยนต์ดีเซล Skyactiv-D

เครื่องเบนซินมากับความจุ 2.0 ลิตร กำลังสูงสุด 165 แรงม้า ที่ 6,000 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด ที่ 210 นิวตันเมตร ที่ 4,000 รอบ/นาที เครื่องยนต์รุ่นนี้จับคู่กับเกียร์อัตโนมัติ 6 สปีด ขับเคลื่อนล้อหน้า จุดเด่นคือเรื่องของความทนทาน บำรุงรักษาง่าย และไม่จุกจิก ให้พละกำลังที่เพียงพอกับการใช้งานทั่วไป ขับขี่ในเมืองประหยัด ขับขี่ทางไกลก็มีกำลังเหลือใช้ เครื่องยนต์ยังทำงานนุ่มนวล เสียงเงียบ สามารถวิ่งได้เกิน 100,000 กิโลเมตร โดยไม่มีปัญหาใหญ่หากบำรุงรักษาตามระยะสม่ำเสมอ นอกจากนี้ยังให้ความประหยัดในระดับที่น่าพอใจ

เครื่องดีเซล Skyactiv-D มากับความจุ 2.2 ลิตร เทอร์โบ กำลังสูงสุด 175 แรงม้า ที่ 4,500 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด 420 นิวตันเมตร ที่ 2,000 รอบ/นาที ก่อนจะมีการปรับกำลังแรงม้าเพิ่มเป็น 190 แรงม้าในปี 2019 และขายมาจนถึงปัจจุบัน เครื่องยนต์ Skyactiv D ของ Mazda มีจุดเด่นในเรื่องความนุ่มนวลและทำงานเงียบที่ให้อารมณ์คล้ายรถดีเซลฝั่งยุโรป ขณะเดียวกันก็ให้สมรรถนะที่ดี อัตราเร่งดี เร่งแซงฉับไว ประหยัดน้ำมันพอตัว และปล่อยไอเสียต่ำ

นอกจากนี้ในปี 2019 Mazda ได้เพิ่มเครื่องยนต์เบนซิน 2.5 ลิตร เทอร์โบ เข้ามาเป็นทางเลือกสำหรับคนต้องการพละกำลังและสมรรถนะในการขับขี่ เครื่องยนต์รุ่นนี้ให้กำลังสูงถึง 231 แรงม้า และให้แรงบิดสูงสุดถึง 420 นิวตันเมตร เป็นรุ่นที่หายากเพราะผลิตออกมาขายในช่วงสั้น ๆ และมีจำนวนน้อย แต่เป็นรุ่นที่ขับสนุกที่สุดและแรงที่สุดของ CX-5 เจเนอเรชันที่ 2

ความทนทานและปัญหาที่ต้องรู้

โดยรวมแล้วเครื่องยนต์ของ Mazda CX-5 เจเนอเรชันที่ 2 ยังคงขึ้นชื่อเรื่องความทน ใช้งานง่าย ไม่จุกจิก หากบำรุงรักษาตามระยะอย่างสม่ำเสมอก็สามารถวิ่งได้เกิน 100,000 กิโลเมตร โดยไม่ต้องเปลี่ยนอะไหล่ชิ้นใหญ่ใด ๆ แต่ก็มีบางจุดที่ควรระวัง

ปัญหานึงที่พบได้ในเครื่องยนต์ Skyactiv-G คือเทอร์โมสตัทมีข้อบกพร่อง สาเหตุอาจเกิดจากซีลยางภายในละลายทำให้ระบบระบายความร้อนทำงานผิดปกติ ส่งผลต่อการทำงานโดยรวมของเครื่องยนต์ ในกรณีนี้จำเป็นต้องเปลี่ยนเทอร์โมสตัทเป็นรุ่นปรับปรุงที่มีหมายเลขแค็ตตาล็อกลงท้ายด้วย ZA หรือ ZB ขั้นตอนนี้ค่อนข้างง่ายแต่ควรพิจารณาว่าการเปลี่ยนเทอร์โมสตัทอาจมีราคาแพง

อีกหนึ่งปัญหาที่มีโอกาสเจอได้คือปัญหาคอยล์จุดระเบิดทำงานผิดปกติซึ่งแสดงให้เห็นได้จากฉนวนที่ปลายคอยล์ชำรุด ส่งผลให้สูญเสียพลังงานและเกิดข้อผิดพลาดบนแผงหน้าปัด การเปลี่ยนคอยล์ไม่ซับซ้อน แต่ต้องใส่ใจกับคุณภาพของชิ้นส่วนที่เลือกใช้

ระบบส่งกำลัง

cx5 เจน2 ทุกเครื่องยนต์เลือกใช้เกียร์อัตโนมัติ 6 สปีดเหมือนกัน เกียร์ลูกนี้มีจุดเด่นในเรื่องความนุ่มนวล แม้ว่าจะไม่ได้มีระบบซับซ้อนหรือมีเทคโนโลยีหวือหวาแต่ก็ถือว่าเป็นเกียร์ที่ดีมาก ๆ รุ่นหนึ่ง มีความเสถียร ดูแลรักษาง่าย หากขับขี่แบบทะนุถนอม เปลี่ยนถ่ายน้ำมันเกียร์ตามระยะ ก็ใช้งานได้เกินแสนกิโลเมตรโดยไม่มีปัญหาใหญ่

อย่างไรก็ตาม เมื่อรถมีการใช้งานไปนาน ๆ อาจเจอปัญหาเกียร์กระตุกได้ในบางจังหวะ โดยเฉพาะในเกียร์ต่ำ 1 – 2 – 3 ปัญหานี้ไม่ส่งผลต่อสมรรถนะการขับขี่ แค่เพียงก่อให้เกิดความรำคาญเฉย ๆ สิ่งสำคัญที่ต้องจำไว้คือควรเปลี่ยนถ่ายน้ำมันเกียร์เป็นประจำทุก 50,000 กิโลเมตร แม้ว่าในคู่มือรถจะไม่ได้บอกไว้ก็ตาม เลือกใช้น้ำมันเกียร์เกรดแท้ศูนย์ และควรเปลี่ยนกรองเกียร์เมื่อใช้งานรถเกิน 1 แสนกิโลเมตร

ระบบขับเคลื่อนทุกล้อและระบบกันสะเทือน

cx5 ควรเปลี่ยนถ่ายน้ำมันเกียร์ทุก 50,000 กิโลเมตร

ระบบขับเคลื่อนทุกล้อ AWD ของ Mazda CX-5 เจเนอเรชันที่ 2 ทำงานได้อย่างราบรื่นและเชื่อถือได้ ไม่มีปัญหาจุกจิกให้กังวลมากเหมือนในรุ่นแรก ซึ่งเคยมีปัญหาที่ลูกปืนคลัตช์เพลาหลังจนทำให้ระบบเสียหาย ระบบใหม่ได้รับการปรับปรุงจนหมดปัญหาเหล่านี้ไปแล้ว

สำหรับโครงสร้างระบบกันสะเทือนแทบจะไม่มีการเปลี่ยนแปลงจาก CX-5 รุ่นก่อนหน้า ด้านหน้าใช้ระบบแมคเฟอร์สันสตรัท ด้านหลังเป็นมัลติลิงก์ด้าน จุดเด่นคือมันเป็นโครงสร้างที่ทนทานและเชื่อถือได้ ให้ความนุ่มนวลและรับแรงสะเทือนได้ดี ทั้งยังให้ฟีลลิ่งการขับที่เฉียบคมและมั่นคงสไตล์ Mazda อย่างไรก็ตาม เมื่อรถใช้งานเกิน 100,000 กิโลเมตร ชิ้นส่วนช่วงล่างบางอย่าง เช่น บูชยางต่าง ๆ ลูกหมาก ลูกปืนล้อ ยางเบ้าโช้ค ยางกันฝุ่นโช้ค อาจเริ่มเสื่อมสภาพและต้องเปลี่ยน ซึ่งเป็นเรื่องปกติของรถทุกคันอยู่แล้ว ดังนั้นไม่มีอะไรให้น่ากังวล

ระบบอิเล็กทรอนิกส์และเทคโนโลยีความปลอดภัย

Mazda CX-5 เจเนอเรชันที่ 2 มาพร้อมเทคโนโลยีความปลอดภัยขั้นสูงมากมายที่ช่วยให้การขับขี่รถยนต์สะดวกสบายและปลอดภัยมากขึ้น อย่างไรก็ตาม เทคโนโลยีความปลอดภัยขั้นสูงเหล่านี้มักอยู่ในรุ่นท็อปเท่านั้น ตัวอย่างเช่น ระบบช่วยควบคุมรถให้อยู่ในเลน, ระบบเตือนเมื่อรถเบี่ยงออกนอกเลน, ระบบควบคุมความเร็วอัตโนมัติแบบแปรผัน, ระบบเตือนการชนด้านหน้าและ ช่วยเบรกอัตโนมัติ, ระบบช่วยหยุดรถอัตโนมัติขณะถอยหลัง เป็นต้น ช่วยแบ่งเบาภาระของผู้ขับขี่และช่วยเพิ่มความปลอดภัยได้แบบรอบด้าน ขับขี่สบายขึ้นทั้งในเมืองลและทางไกล แต่ถ้าคุณซื้อ mazda cx 5 มือสองรุ่นกลางหรือรุ่นล่าง ระบบเหล่านี้จะไม่มีให้ใช้

อย่างไรก็ตาม CX-5 เจเนอเรชันที่ 2 ก็ยังเป็น Crossover SUV ที่มีความปลอดภัยสูง ยิ่งเป็นรถมือสองปีใหม่ ๆ อุปกรณ์ความปลอดภัยต่าง ๆ จะได้รับการอัปเกรดให้ดีขึ้นและครบครันขึ้นทั้งในรุ่นท็อป รุ่นกลาง และรุ่นล่าง ดังนั้นไม่ว่าจะเลือกรุ่นไหน ถ้าเป็นรถมือสองใช้น้อยหรือสภาพใหม่ ยังไงก็ยังให้ความมั่นใจและความปลอดภัยได้ดีไม่แพ้ CX-5 เจเนอเรชันที่ 2 มือหนึ่งป้ายแดง

ปัญหาเกี่ยวกับการเปิด-ปิดประตูท้าย

หนึ่งในปัญหาที่เจอได้บ่อยใน CX-5 เจเนอเรชันที่ 2 ปีลึก ๆ คือมอเตอร์ควบคุมการเปิด-ปิดประตูท้ายไฟฟ้าเสียหาย สาเหตุมักมาจากสายไฟถักที่โดนกัดกร่อนหรือมีความชื้นเข้าไปในกลไกจนทำให้ใช้งานไม่ได้ วิธีป้องกันคือตรวจสอบสภาพสายไฟสม่ำเสมอ และใช้สเปรย์ซิลิโคนฉีดหล่อลื่นเพื่อลดความชื้นและการสะสมของสนิม

อีกหนึ่งปัญหาที่พบเจอได้คือกลไกการพับกระจกมองข้างขัดข้อง พับช้าลง หรือความเร็วการพับปิด-เปิดไม่เท่ากันทั้งสองข้าง แม้เฟืองพับกระจกในรุ่นนี้จะไม่เปราะแตกง่ายเหมือนรุ่นแรก แต่กลไกการพับก็ยังมีโอกาสติดขัดได้ถ้าจอดกลางแดดกลางฝนบ่อย ๆ หรือไม่เคยหล่อลื่นกลไกเลย เจ้าของหลายคนแก้ปัญหานี้ด้วยวิธีง่าย ๆ คือฉีดสเปรย์หล่อลื่นลงไปในกลไกการพับกระจกซึ่งช่วยให้กลับมาใช้งานได้ปกติ

คุ้มไหมที่จะซื้อ mazda cx 5 มือสอง

Mazda CX-5 เจเนอเรชันที่ 2 ถือเป็นหนึ่งในรถ Crossover SUV ขนาดกลางไม่กี่รุ่นที่ผสมผสานความรู้สึกในการขับขี่แบบรถเก๋งเข้ากับความอเนกประสงค์ของ SUV ได้อย่างลงตัว ไม่ใช่แค่รูปลักษณ์ที่ดูดีมีสไตล์ แต่ยังให้ประสบการณ์หลังพวงมาลัยที่ต่างจาก SUV ในระดับเดียวกัน

ช่วงล่างเซตมาค่อนข้างสมดุล ให้ความสบายพอประมาณโดยไม่เสียความมั่นใจในการควบคุม ขณะที่ห้องโดยสารก็ใส่ใจในรายละเอียดได้ดีทั้งการจัดวางอุปกรณ์ การเลือกวัสดุ และหลักสรีรศาสตร์ ทำให้ขับนาน ๆ แล้วไม่รู้สึกเมื่อยล้า

แต่ผู้ซื้อมืองสองก็ต้องทำความเข้าใจว่า CX-5 ไม่ใช่รถที่ดูแลน้อยแล้วจบ มันต้องการการบำรุงรักษาที่ตรงเวลาและวัสดุสิ้นเปลืองที่มีคุณภาพ เช่น น้ำมันเครื่องดี ๆ หรือไส้กรองอากาศที่เหมาะสม เพราะเครื่องยนต์ Skyactiv นั้นออกแบบมาอย่างละเอียด และไวต่อการละเลยเล็ก ๆ น้อย ๆ มากกว่ารถบางรุ่น

จุดเล็ก ๆ ที่ควรรู้ก่อนซื้อ mazda cx5 มือสอง

แม้โดยรวมจะเป็นรถที่น่าเชื่อถือ แต่ CX-5 เจเนอเรชันที่ 2 ก็มีจุดเล็ก ๆ ที่ควรระวัง เช่น ระบบกันสะเทือนที่อาจรู้สึกกระด้างไปบ้างบนถนนขรุขระ หรือระบบขับเคลื่อนทุกล้อที่แม้จะพัฒนาแล้วแต่ก็ยังต้องการการดูแลอยู่บ้าง รวมถึงระบบอิเล็กทรอนิกส์บางจุดที่อาจมีการงอแงเมื่อใช้งานนาน ๆ โดยเฉพาะในรุ่นที่ติดตั้งอุปกรณ์เสริมเยอะ

mazda cx 5 Gen2 มือสอง ยังน่าเล่นไหม?

mazda cx 5 ดูดีมีสไตล์และยังขับสนุก

ถ้าคุณกำลังมองหา CX-5 เจเนอเรชันที่ 2 มือสอง รถรุ่นนี้จัดเป็นตัวเลือกที่คุ้มค่าน่าเล่น ถ้าเจอคันที่ไมล์น้อย ประวัติซ่อมบำรุงดี ไม่เคยชนหนัก และได้รับการดูแลสม่ำเสมอ ก็ถือว่าเป็นตัวเลือกน่าสนใจมาก ๆ อย่างไรก็ตาม เจ้าของรถควรเผื่องบประมาณสำหรับการเปลี่ยนอะไหล่ตามอายุ เช่น โช้คอัพ ชิ้นส่วนช่วงล่าง ชิ้นส่วนภายในเครื่องยนต์ ระบบพวงมาลัย หรือระบบอิเล็กทรอนิกส์บางจุด โดยเฉพาะหากระยะใช้งานเลย 100,000 กิโลเมตรไปแล้ว อะไหล่ของ CX-5 เจเนอเรชันที่ 2 ไม่ได้หายาก มีตัวเลือกเยอะทั้งของศูนย์และของเทียบแบรนด์ OEM แต่อะไหล่บางตัวมีราคาสูงจะไม่เปลี่ยนก็ไม่ได้ ดังนั้นอาจต้องเผื่อใจยอมรับข้อเสียตรงจุดนี้ไว้ด้วย

โดยรวมแล้ว mazda cx 5 เจน2 เป็นรถที่มีดีมากกว่าหน้าตาภายนอก ภายใต้ดีไซน์ที่โฉบเฉี่ยวทันสมัย นี่คือรถที่เชื่อถือได้ ใช้งานทุกวันได้อย่างมั่นใจ และยังขับสนุกแบบที่ไม่ค่อยเจอในรถกลุ่มนี้ แต่เช่นเดียวกับรถทุกคัน มันต้องการการดูแลที่เหมาะสม ถ้าคุณพร้อมดูแลและเข้าใจธรรมชาติของมัน CX-5 เจเนอเรชันที่ 2 ก็พร้อมตอบแทนคุณด้วยประสบการณ์การขับขี่ที่ยอดเยี่ยมไปอีกหลายปี


เปรียบเทียบราคารถมือสอง mazda cx 5 รุ่นที่ 2 (ปี 2017–ปัจจุบัน) ที่ใช่สำหรับคุณได้ที่นี่

เรารวบรวมประกาศขายจาก Facebook Marketplace, Kaidee, One2Car และ TaladRod มาไว้ในที่เดียว

เปรียบเทียบราคา เช็กประเภทผู้ขาย แล้วเลือกคันที่ตรงใจคุณได้ง่ายๆ


mazda cx 5 รุ่นที่ 2 มือสองมากมายรอคุณอยู่ที่นี่ → ค้นหา mazda cx5

  • กรุงเทพมหานคร, 500 km
  • ยี่ห้อ: Mazda
  • รุ่น: CX-5
  • ปี: 2018-2025
  • แหล่งที่มา: Facebook, Kaidee, One2Car, TaladRod